การเขียนบทภาพยนตร์สั้น
1. ประวัติบทภาพยนตร์
2. กระบวนการคิดโครงเรื่อง
3. หลักการเขียนบทเบื้องต้น
4. ตัวอย่างบทภาพยนตร์สั้น
1. ประวัติบทภาพยนตร์
ความเป็นมาของการเขียนบทภาพยนตร์
การเขียนบทภาพยนตร์เริ่มจากตากล้องควบตำแหน่งคนเขียนบทเพราะการถ่ายทำภาพยนตร์โดยตากล้องเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เริ่มต้น การเขียนบทภาพยนตร์พัฒนาสู้การเขียนบทสนทนา(บทพูด)โดยนักแสดงตลก(บทพูดสามารถแฝงด้วยมุขตลก)การเขียนบทภาพยนตร์ได้รับความสำคัญในการเป็นสื่อเฉพาะที่จำเป็นต่อการผลิตภาพยนตร์
ทำให้บทบาทของผู้เขียนบทภาพยนตร์มีความสำคัญตามมาที่มาของการเขียนบทภาพยนตร์ในอเมริกา
1910-บทภาพยนตร์ถูกกำหนดแบบคร่าวๆ
แต่งเติมตัดทอน ระหว่างถ่ายภาพยนตร์ได้ตามเหมาะสม
1920-บทภาพยนตร์ได้รับความสำคัญ
ทำให้มีตำแหน่งคนเขียนบทภาพยนตร์(script writer)ที่ต้งอทำงานเชิงสรางสรรค์
1940-นักเขียนบทเกิดขึ้มมากเพราะสภาพ
ww2 ทำให้นักเขียนต่างๆ หารายได้เพิ่มจากการเขียนบทภาพยนตร์
1950-ยุคโรงถ่ายเสื่อม
คนเขียนบทหมดสัญญา กับบริษัทโรงถ่ายสภาพสังคมทำให้นักเขียนบทต้องใช้นานแฝงในการเขียนบทภาพยนตร์
1970-คนรุ่นใหม่ก้าวสู่การเขียนบท
มีนักเขียนบทฝีมือดีเกิดขึ้นหลายคน
1980-ถึงปัจจุบัน-คนเขียนบท
และผู้แก้ไขบทภาพยนตร์เป็นตำแหน่งสำคัญในการผลิตภาพยนตร์มาก
นี้คือประวัติคร่าวๆ
ของการเขียนบทภาพยนตร์
2. กระบวนการการคิดโครงเรื่อง
กระบวนการคิดให้เป็นเรื่อง
การคิดเรื่องมันไม่ยากหรอกครับ
ก่อนอื่นอยากให้เริ่มต้นด้วยการเขียนโครงเรื่องสักหนึ่งหน้ากระดาษก่อน
เล่าว่าในหนังสั้นที่เรากำลังจะทำนี้ มีเหตุการณ์อะไรบ้าง ใคร ทำอะไร ที่ไหน
อย่างไร เมื่อไหร่ แบ่งเป็นฉากๆ ก็ได้ครับ ฉากที่ 1 ไปจนกระทั่งกี่ฉากก็ว่าไป
แต่ล่ะฉากก็ให้มีการเดินเรื่องไปข้างหน้าตลอดไม่ย่ำตัวเองอยู่กับที่
แต่ก่อนที่จะเริ่มคิดและเขียนเรื่องขึ้นมา
ก็อยากจะให้ทุกคนทราบถึงหลักของการเล่าเรื่องเสียก่อน
หลักง่ายๆ
ของการเริ่มต้นอยากจะเล่าเรื่องอะไรสักอย่างให้แก่คนทั่วๆ ไปได้รับรู้กันนั้น
จริงๆ แล้วไม่ว่าหนัง,ละคร,นิทาน
หรือนวนิยาย ต้นกำเนิดของเรื่องเล่ารูปแบบต่างๆ เหล่านี้มีไม่มากนัก
1.เล่าเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
เช่น นาย ก.เดินทางไปในป่าเพื่อล่าสัตว์
และพบสิงโตตัวหนึ่งกำลังไล่ล่ากวาง ในระหว่างที่นาย ก. กำลังมองดูเหตุการณ์นี้
จู่ๆ สิงโตก็หันไปเห็นนาย ก.และวิ่งไล่ใส่นาย ก.แทน ฝ่ายนาย ก. เมื่อเห็นดังนั้นก็เลยรีบวิ่งโกยไม่คิดชีวิต
เมื่อเขารอดมาได้ ไม่ว่าเจอหน้าใครเขาก็อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องนี้ให้แก่คนผู้นั้นฟัง
เรื่องเล่าประเภทนี้
ผู้เล่ามักจะมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องที่ตนเองเล่าไปด้วยเป็นอย่างมาก พูดง่ายๆ
ก็คือมี “ประสบการณ์ร่วม” หรือใกล้ชิดกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นๆ
อย่างแท้จริง
2.เล่าเพราะเห็นเจอมา
แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัว เช่น นาย ข. ขึ้นรถเมล์ที่เบียดเสียด
แล้วได้ไปเจอผู้ชายลุกให้เด็กนั่ง
มันเป็นเหตุการณ์อันน่าประทับใจจนเขาต้องเล่าให้เพื่อนของเขาฟัง
เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่กระทบความรู้สึกของคนเล่ามากเท่ากับเรื่องแบบแรก
แต่ก็เป็นเรื่องที่โดนใจเขาได้หากลึกๆ แล้วมันเป็นประเด็นที่เขาอ่อนไหว เช่น นาย ข.โดยปรกติแล้วชอบช่วยเหลือคนที่อ่อนแอ
เหตุการณ์ดังกล่าวจึงสร้างความรู้สึกแก่เขา
3.เล่าเพราะจินตนาการ
พูดง่ายๆ ก็คือเรื่องแต่งแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มน่ะแหละครับ
อย่างพ่อที่เล่านิทานที่แต่งขึ้นมาเดี๋ยวนั้นให้ลูกฟังก่อนนอน เรื่องแบบนี้จะมีประสบการณ์ร่วมหรือรู้สึกไปกับเหตุการณ์น้อยกว่าเรื่องแบบที่สอง
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าด้อยค่าไปกว่ากันเลย
เพราะว่าเรื่องเล่าแบบนี้สามารถสร้างความอยากติดตามให้แก่ผู้ฟังได้
หากตัวคนเล่าเองเปิดใจเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังเล่าอยู่แบบหมดเปลือก
4.เล่าเพราะจำเป็นจะต้องเล่า
แบบเด็กนักเรียนที่ต้องไปยืนพูดหน้าชั้นเรียน
แล้วเล่าเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็จะเล่าแบบสะดุดเป็นห้วงๆ
และไม่น่าสนใจไม่น่าติดตาม
เรื่องเล่าแบบนี้หมดสิ้นทั้งความเชื่อในสิ่งที่กำลังเล่าอยู่ของตัวผู้เล่าเอง
และความมีอารมณ์ร่วมหรือรู้สึกตามไปกับเรื่องที่เล่านั้นๆ
จะเห็นได้ว่าจากหัวข้อที่ผมยกขึ้นมาข้างต้น ผมได้เน้นคำว่า “ประสบการณ์ร่วม” และ “ความเชื่อ”
มากเป็นพิเศษ เพราะผมเชื่อว่านี่แหละครับ
สองสิ่งนี้แหละคือหัวใจสำคัญของการสร้างงานศิลปะใดๆ ก็ตามบนโลกให้ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้
แม้กระทั่งสำหรับหนังสั้นก็ตาม
แต่ผมอยากจะให้ก่อนเริ่มต้นที่จะคิดเรื่องเพื่อจะทำหนังสั้นสักเรื่อง
สำหรับมือใหม่หัดทำ ควรจะเริ่มต้นด้วย “ประสบการณ์ร่วม”
กับเรื่องก่อน
หมายถึงว่าเขารู้สึกพิเศษหรือใกล้ชิดกับเรื่องที่กำลังเล่า คือในรูปแบบการเล่าเรื่องจะต้องอยู่ระหว่างข้อ 1 หรือ 2 ก่อน
เพราะการเริ่มด้วยเรื่องที่ตัวเองรู้จัก
เข้าใจ และมีจดจำรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงที่น่าสนใจนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น
หากคุณเป็นคนที่มีปมปัญหากับพี่หรือน้อง ทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
คุณก็อาจจะได้งานน่าสนใจสุดๆ จากการนำเรื่องเหล่านั้นมาเล่าผ่านหนังของคุณ
หรือหากคุณเป็นพนักงานออฟฟิตที่โดนเจ้านายกดขี่และเป็นทุกข์ด้วยปัญหาต่างๆ
คุณก็สามารถนำเอาเหตุการณ์นั้นๆ มาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นชั้นดีในการทำหนังของคุณ
แต่มันก็ยังเป็นแค่
“องค์ประกอบหนึ่ง” เท่านั้นนะครับ
เพราะอีกองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการเริ่มคิดเรื่องก็คือคุณจะต้องมี “ความเชื่อ” เป็นอย่างยิ่งกับเรื่องที่คุณจะเล่า
แม้ว่าหากเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคุณ
แต่ถ้าคุณไม่มีความเชื่อในการที่จะถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างน่าสนใจ
มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำหนังเรื่องนั้นๆ ขึ้นมา ความเชื่อที่ว่านั้นก็คือ
เชื่อว่าเรื่องที่คุณคิดนั้นจะต้องมีพลังออกมาและส่งผลไปยังความรู้สึกนึกคิดของคน.....ความเชื่อที่ว่านั้นก็คือ
เชื่อว่าเรื่องที่คุณคิดนั้นจะต้องมีพลังออกมาและส่งผลไปยังความรู้สึกนึกคิดของคนที่คุณอยากให้มาดูหนังของคุณ
ให้เขาหัวเราะ,ร้องไห้ หรือฮึกเหิมเปี่ยมด้วยกำลังใจ
จนกระทั่งเมื่อหนังจบก็ได้ซึบซับเอาสาระต่างๆ
ที่คุณสอดแทรกเอาไว้ในหนังไปโดยไม่รู้ตัว
รวมไปถึงเชื่อมั่นในตัวเองว่าเรื่องที่กำลังทำอยู่นั้นน่าสนใจจริงๆ
และเชื่อว่ามันได้กลั่นกรองมาจากก้นบึ้งของหัวใจคุณแล้วจริงๆ
การมีความเชื่อเช่นนี้ คุณสามารถทำหนังอะไรก็ได้ทุกแบบครับ
ตามรูปแบบข้างต้นก็จะตั้งแต่ข้อ 1 ถึง 3 นั่นแหละ คือ แม้แต่เรื่องที่แต่งด้วยจินตนาการของคุณ
สร้างโลกอุปโลกน์ขึ้นมาจากอากาศธาตุ ถ้าคุณทำหนังอย่าง Lord of the
ring เมื่อคุณมีความเชื่อ คุณก็สามารถทำให้คนอื่นเชื่อได้ว่ามัจฉิมโลกมีอยู่จริง
แต่...สุดท้ายก็ต้องมีคำว่าแต่
การมีประสบการณ์ร่วมหรือการมีความเชื่อในเรื่องที่จะเล่าอย่างเต็มเปี่ยม
ก็อาจจะไม่ได้ทำให้คุณสามารถทำหนังในแบบที่คุณอยากทำได้อย่างสมบูรณ์พร้อมโดยแท้จริง
เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะความเป็นจริงอย่างไรล่ะ
ความเป็นจริงจากปัจจัยรอบๆ
ตัวคุณ เช่น คุณมีกล้อง มีไมค์บูมสำหรับอัดเสียง มีทีมงานสองสามคน มีบ้านหนึ่งหลัง
และเพื่อนอีกไม่กี่คนที่พร้อมจะแสดงให้
ข้อจำกัดมากมายมักชอบมาบีบให้ความคิดสร้างสรรค์ของคนทำหนังต้องหดแคบลง อย่างเช่น
หากคุณเล่าเรื่องของตัวเอง
และมีฉากที่คุณอยู่ในงานฉลองปีใหม่และเป็นฉากสำคัญต่อเรื่อง
เพราะในฉากนี้คุณจะต้องโดนหักอกในขณะเดียวกันคุณก็จะพบรักใหม่
แต่คุณกำลังถ่ายหนังช่วงกลางปี และไม่อาจจะรออีก 6 เดือนเพื่อถ่ายฉากนี้ได้ เพราะนักแสดงอาจจะตัดผม อาจจะไปเรียนต่อเมืองนอก
และงบประมาณการสร้างอาจจะถูกใช้หมดไปเสียก่อน แล้วที่นี่จะทำไงดีล่ะ
ก็มาสู่ข้อเท็จจริงที่ว่า
บางครั้งคนทำหนังที่ดีก็ต้องคิดเรื่องและเขียนบทให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อจำกัด
ในขณะที่ก็ยังสะท้อนตัวตนและเล่าเรื่องในแบบที่อยากเล่าได้ สามารถรักษาสมดุลของตาชั่งทั้งสองข้าง
ผมเองขอยอมรับว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากเสียหน่อย
แต่ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นที่จะต้องทำน่ะครับ
แปลว่าเมื่อเริ่มต้นทำหนังสั้นเรื่องแรก ความ “เอาแต่ใจตัวเอง”
และความยึดมั่นถือมั่นในการจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็นปรากฏบนหนังตนเอง
หรือใส่สิ่งที่ชอบลงไปในเนื้องานของผู้กำกับไม่ควรมีมากจนเกินไป
3. หลักการเขียนบทเบื้องต้น
องค์ประกอบของการเขียนบทภาพยนตร์
เรื่อง (story) หมายถึงเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น
โดยมีจุดเริ่มต้นและดำเนินไปสู่จุดสิ้นสุด เรื่องอาจจะสั้นเพียงไม่กี่นาที
อาจยาวนานเป็นปี หรือไม่รู้จบ (infinity) ก็ได้
สิ่งสำคัญในการดำเนินเรื่อง คือปมความขัดแย้ง (conflict) ซึ่งก่อให้เกิดการกระทำ ส่งผลให้เกิดเป็นเรื่องราว
แนวความคิด (concept) เรื่องที่จะนำเสนอมีแนวความคิด (Idea) อะไรที่จะสื่อให้ผู้ชมรับรู้
แก่นเรื่อง (theme) คือประเด็นเนื้อหาสำคัญหรือแกนหลัก (Main
theme) ของเรื่องที่จะนำเสนอ ซึ่งอาจประกอบด้วยประเด็นรองๆ (sub
theme) อีกก็ได้ แต่ต้องไม่ออกนอกแนวความคิดหลัก
เรื่องย่อ (plot) เป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาใหม่ เรื่องที่นำมาจากเหตุการณ์จริง
เรื่องที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรม หรือแม้แต่เรื่องที่ลอกเลียนแบบมาจากภาพยนตร์อื่น
สิ่งแรกนั้นเรื่องต้องมีความน่าสนใจ มีใจความสำคัญชัดเจน
ต้องมีการมีการตั้งคำถามว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น (What...if...?) กับเรื่องที่คิดมา และสามารถพัฒนาขยายเป็นโครงเรื่องใหญ่ได้
โครงเรื่อง (treatment) เป็นการเล่าเรื่องลำดับเหตุการณ์อย่างมีเหตุผล
เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์จะต้องส่งเสริมประเด็นหลักของเรื่องได้ชัดเจน
ไม่ให้หลงประเด็น โครงเรื่องจะประกอบด้วยเหตุการณ์หลัก (main plot) และเหตุการณ์รอง (sub plot) ซึ่งเหตุการณ์รองที่ใส่เข้าไป
ต้องผสมกลมกลืนเป็นเหตุเป็นผลกับเหตุการณ์หลัก
ตัวละคร (character) มีหน้าที่ดำเนินเหตุการณ์จากจุดเริ่มต้นไปสู่จุดสิ้นสุดของเรื่อง
ตัวละครอาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเป็นนามธรรมไม่มีตัวตนก็ได้
การสร้างตัวละครขึ้นมาต้องคำนึงถึงภูมิหลังพื้นฐาน ที่มาที่ไป บุคลิกนิสัย
ความต้องการ อันก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆของตัวละครนั้นๆ
ตัวละครแบ่งออกเป็นตัวแสดงหลักหรือตัวแสดงนำ และตัวแสดงสมทบหรือตัวแสดงประกอบ
ทุกตัวละครจะต้องมีส่งผลต่อเหตุการณ์นั้นๆ มากน้อยตามแต่บทบาทของตน
ตัวเอกย่อมมีความสำคัญมากกว่าตัวรองเสมอ
บทสนทนา (dialogue) เป็นถ้อยคำที่กำหนดให้แต่ละตัวละครได้ใช้แสดงโต้ตอบกัน
ใช้บอกถึงอารมณ์ ดำเนินเรื่อง และสื่อสารกับผู้ชม
ภาพยนตร์ที่ดีจะสื่อความหมายด้วยภาพมากกว่าคำพูด
การประหยัดถ้อยคำจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ
ความหมายหรืออารมณ์บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ถ้อยคำมาช่วยเสริมให้ดูดียิ่งขึ้นก็ได้
โครงสร้างการเขียนบท
จุดเริ่มต้น (beginning) ช่วงของการเปิดเรื่อง
แนะนำเรื่องราว ปูเนื้อเรื่อง
การพัฒนาเรื่อง (developing) การดำเนินเรื่อง
ผ่านเหตุการณ์เดียวหรือหลายเหตุการณ์ เนื้อเรื่องจะมีความซับซ้อนมากขึ้น
จุดสิ้นสุด (ending) จุดจบของเรื่อง แบ่งออกเป็นแบบสมหวัง (happy
ending) ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ และแบบผิดหวัง (tragedy/
sad ending) ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ
โครงเรื่องสู่การเป็นบท
เมื่อสามารถคิดและเขียนเรื่องโดยรู้จักที่จะประนีประนอมกับตัวเองได้แล้ว
ก็มาสู่ขั้นการเขียนบท ทุกอย่างในขั้นตอนนี้จะง่ายขึ้นเมื่อคุณมีโครงเรื่องที่เรียบร้อยดีอยู่แล้ว
คุณก็แค่ยึดเอาโครงเรื่องนี้มาไว้กับตัว และจำหลักการง่ายๆ
ดังต่อไปนี้ที่คุณควรจะยึดติดเอาไว้
1.จำไว้เสมอว่าตัวเองกำลังเล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร
หมายความว่าพยายามยึดเรื่องให้อยู่กับประเด็นหลักเอาไว้
เพราะว่ามีคนทำหนังมากมายที่หลงทางไปกับประเด็นแยกย่อย
หรือเพิ่มเติมเนื้อหาบางอย่างเข้าไปทั้งๆ ที่มันไม่ได้ส่งผลใดๆ
กับเรื่องราวที่กำลังเล่าอยู่เลย ยิ่งเป็นหนังสั้นด้วยแล้ว
การเดินเข้าสู่ประเด็นหลักอย่างมั่นคงยิ่งเป็นเรื่องจำเป็น
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณกำลังเล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่ตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่ง
และจีบเธอโดยการส่งดอกไม้ทุกวัน คุณอาจจะขยายเรื่องราวว่า
ชีวิตชายหนุ่มคนนี้เป็นอย่างไร เพื่ออธิบายว่าทำไมเขาถึงมาชอบหญิงสาวคนนี้
และอาจจะอธิบายเกี่ยวกับตัวหญิงสาวได้ว่า ชีวิตของเธอเป็นอย่างไรและทำไมเธอถึงกลายมาเป็นคนที่ชายหนุ่มหลงรัก
แต่เรื่องจะหลงทางทันทีหากคุณไปเล่าเรื่องของแม่พระเอก หรือพ่อของนางเอก
โดยที่มันไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อการที่พระเอกตามจีบนางเอก
เว้นแต่ว่าจะเป็นเรื่องความรักของรุ่นพ่อรุ่นแม่
ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับความรักของรุ่นลูกด้วยได้ การเล่าเรื่องที่ออกนอกประเด็นนั้นจะนำพามาทั้งความสับสนแก่คนดูว่า
ตกลงแล้วคนทำหนังพยายามจะบอกอะไรกันแน่
ยังอาจจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายเล็กน้อยขึ้นมาอีกด้วย
การแก้ปัญหาตรงนี้นอกจากจะขึ้นอยู่กับการวางโครงเรื่องรัดกุมแล้ว
ยังอยู่ที่การเขียนบทที่มีสมาธิอีกด้วย
2. เดินเรื่องไปข้างหน้าอยู่ตลอด
อย่างที่เกริ่นไว้ในหัวข้อการคิดเรื่อง
การที่ทำให้เรื่องเดินหน้าไปตลอดนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังที่ต้องการให้คนดูได้รับความบันเทิง ยกตัวอย่างเช่น
หากเราปูเรื่องไว้แล้วว่าพระเอกทำงานออฟฟิตที่น่าเบื่อหน่าย เพื่อนๆ ไม่ชอบหน้าเขา
การบอกเล่าตรงนี้ควรจะเป็นแค่ครั้งหรือสองครั้งก็ได้ แต่หากมีบ่อยๆ ซ้ำๆ
เกินควรอาจจะทำให้คนดูรู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องที่กำลังดูอยู่
และพาลหมดความสนใจแก่ตัวหนังทั้งเรื่องไปได้
3.การยึดหลัก 3 องค์ ปรกติถ้าเป็นตำราเขียนบท เรื่องของ 3 องค์มักจะมาเป็นลำดับแรก แต่สำหรับผม
ผมมองว่าเรื่องของโครงสร้างการเขียนบทนั้น มันยังจำเป็นน้อยกว่า 2 หัวข้อก่อนหน้านี้ หลัก 3 องค์ที่ว่าซึ่งคนที่เรียนเขียนบทหนังหรือบทละครมาก็คงจะรู้จักกันดีนะครับ
องค์แรกก็คือการปูเรื่อง
เปิดตัวละคร จนเกิดเหตุการณ์พลิกผันกับตัวละคร นำไปสู่องค์ที่ 2เช่น พระเอกเป็นพนักงานออฟฟิตธรรมดา โดยเจ้านายกดขี่
แฟนแอบนอกใจไปเป็นชู้กับเพื่อน แล้วจู่ๆ ก็มีคนเดินมาบอกว่า
เขาคือสุดยอดนักฆ่าที่มีพลังมหาศาล และอยากชวนเขาเข้าร่วมองค์กร
และพระเอกได้เจอฝ่ายเหล่าร้ายตามไล่ล่า จนตัดสินใจว่าจะต้องเข้าร่วมกับองค์กรนี้
องค์ที่สองก็คือส่วนกลางเรื่อง
เล่าเรื่องที่ปูไปสุดจุดหักเหอีกครั้งก่อนจะเข้าส่ climax (ช่วงจบ)ตัวอย่างเช่น
พระเอกมาฝึกฝนการต่อสู้กับองค์กรที่ชวนเขามาเข้าพวกจนสำเร็จสุดยอดวิชา
แต่กลายเป็นว่าองค์กรนี้แท้จริงชั่วร้าย เลยต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรระหว่างหนีไปหรือทำลายองค์กรนี้
องค์ที่สามก็คือบทสรุปของเรื่องน่ะแหละครับ
ตัวอย่างก็เช่น พระเอกตัดสินใจจะไม่หนีและสู้กับองค์กรร้าย
การต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านแต่สุดท้ายพระเอกก็เป็นฝ่ายกุมชัยชนะ
เรื่องจบลงโดยการที่พระเอกตัดสินใจใช้ความสามารถของตนผดุงคุณธรรม
คุณสามารถนำหลัก 3 องค์ไปปรับใช้ได้กับการเล่าเรื่องทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะโรแมนติก สยองขวัญ หรือหนังแอ็คชั่นเลือดท่วม
จนเมื่อคุณแม่นกับการทำหนังตามหลัก 3 องค์แล้ว
คุณก็สามารถจะ “แหกกฎ” โดยการไม่ทำตามนี้เลยก็ได้
เพราะมันอาจจะนำมาซึ่งสิ่งแปลกใหม่และสร้างสรรค์ แต่ก่อนหน้านั้น
มันก็เหมือนกับที่เขาว่ากันว่า ก่อนจะวิ่งได้ต้องหัดเดินก่อนน่ะแหละครับ
เพราะถ้าเกิดยังเดินไม่ได้แล้วมาวิ่งเลยนี่
โอกาสที่จะสะดุดหกล้มหัวคะมำก็เป็นไปได้สูงทีเดียว
4. เขียนให้คนอื่นๆ
สามารถเห็นภาพตามไปด้วยได้ คนทำหนังทุกคนไม่ควรทำหนังคนเดียวครับ
เพราะว่ามันเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะไหนจะต้องมีสมาธิกับการกำกับ
มีสมาธิว่าต่อไปจะต้องถ่ายฉากอะไรต่อ จะพักกินข้าวตอนไหน จะวางมุมกล้องยังไง ฯลฯ
สารพัดครับ การเขียนบทที่สามารถทำให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจได้ง่าย
มองเห็นภาพในหนังได้ตรงกัน และทำให้การทำงานง่ายขึ้น
แต่ถ้าถามว่าเขียนอย่างไรถึงจะให้เป็นเช่นนั้นได้
อธิบายง่ายๆ เลยนะครับ ก็คือ อย่างเช่น ฉากที่พระเอกเดินเข้ามาในห้อง
มันอาจจะมีรายละเอียดด้วยว่า “พระเอกเปิดประตูเข้ามาในห้อง
เดินเข้ามาแล้วก็ปิดประตู จากนั้นก็เดินผ่านกองหนังสือเก่าที่วางระเกะระกะ
ตรงเข้าไปนั่งที่โซฟาสีน้ำเงิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากประตูสักเท่าไหร่ ข้างๆ
โซฟามีหน้าต่าง มองออกไปเห็นท้องฟ้าสีคราม พระเอกเมื่อนั่งลงแล้ว
เขาก็นั่งนิ่งไม่ได้ทำอะไร”
นี้คือหลักการเขียนบทเบื้องต้น ฉบับย่อๆครับผม
2. กระบวนการคิดโครงเรื่อง
3. หลักการเขียนบทเบื้องต้น
4. ตัวอย่างบทภาพยนตร์สั้น
1. ประวัติบทภาพยนตร์
ความเป็นมาของการเขียนบทภาพยนตร์
การเขียนบทภาพยนตร์เริ่มจากตากล้องควบตำแหน่งคนเขียนบทเพราะการถ่ายทำภาพยนตร์โดยตากล้องเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เริ่มต้น การเขียนบทภาพยนตร์พัฒนาสู้การเขียนบทสนทนา(บทพูด)โดยนักแสดงตลก(บทพูดสามารถแฝงด้วยมุขตลก)การเขียนบทภาพยนตร์ได้รับความสำคัญในการเป็นสื่อเฉพาะที่จำเป็นต่อการผลิตภาพยนตร์ ทำให้บทบาทของผู้เขียนบทภาพยนตร์มีความสำคัญตามมาที่มาของการเขียนบทภาพยนตร์ในอเมริกา
กระบวนการคิดให้เป็นเรื่อง
การคิดเรื่องมันไม่ยากหรอกครับ ก่อนอื่นอยากให้เริ่มต้นด้วยการเขียนโครงเรื่องสักหนึ่งหน้ากระดาษก่อน เล่าว่าในหนังสั้นที่เรากำลังจะทำนี้ มีเหตุการณ์อะไรบ้าง ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ แบ่งเป็นฉากๆ ก็ได้ครับ ฉากที่ 1 ไปจนกระทั่งกี่ฉากก็ว่าไป แต่ล่ะฉากก็ให้มีการเดินเรื่องไปข้างหน้าตลอดไม่ย่ำตัวเองอยู่กับที่ แต่ก่อนที่จะเริ่มคิดและเขียนเรื่องขึ้นมา ก็อยากจะให้ทุกคนทราบถึงหลักของการเล่าเรื่องเสียก่อน
หลักง่ายๆ ของการเริ่มต้นอยากจะเล่าเรื่องอะไรสักอย่างให้แก่คนทั่วๆ ไปได้รับรู้กันนั้น จริงๆ แล้วไม่ว่าหนัง,ละคร,นิทาน หรือนวนิยาย ต้นกำเนิดของเรื่องเล่ารูปแบบต่างๆ เหล่านี้มีไม่มากนัก
1.เล่าเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เช่น นาย ก.เดินทางไปในป่าเพื่อล่าสัตว์ และพบสิงโตตัวหนึ่งกำลังไล่ล่ากวาง ในระหว่างที่นาย ก. กำลังมองดูเหตุการณ์นี้ จู่ๆ สิงโตก็หันไปเห็นนาย ก.และวิ่งไล่ใส่นาย ก.แทน ฝ่ายนาย ก. เมื่อเห็นดังนั้นก็เลยรีบวิ่งโกยไม่คิดชีวิต เมื่อเขารอดมาได้ ไม่ว่าเจอหน้าใครเขาก็อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องนี้ให้แก่คนผู้นั้นฟัง เรื่องเล่าประเภทนี้ ผู้เล่ามักจะมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องที่ตนเองเล่าไปด้วยเป็นอย่างมาก พูดง่ายๆ ก็คือมี “ประสบการณ์ร่วม” หรือใกล้ชิดกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นๆ อย่างแท้จริง
2.เล่าเพราะเห็นเจอมา แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัว เช่น นาย ข. ขึ้นรถเมล์ที่เบียดเสียด แล้วได้ไปเจอผู้ชายลุกให้เด็กนั่ง มันเป็นเหตุการณ์อันน่าประทับใจจนเขาต้องเล่าให้เพื่อนของเขาฟัง เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่กระทบความรู้สึกของคนเล่ามากเท่ากับเรื่องแบบแรก แต่ก็เป็นเรื่องที่โดนใจเขาได้หากลึกๆ แล้วมันเป็นประเด็นที่เขาอ่อนไหว เช่น นาย ข.โดยปรกติแล้วชอบช่วยเหลือคนที่อ่อนแอ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงสร้างความรู้สึกแก่เขา
3.เล่าเพราะจินตนาการ พูดง่ายๆ ก็คือเรื่องแต่งแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มน่ะแหละครับ อย่างพ่อที่เล่านิทานที่แต่งขึ้นมาเดี๋ยวนั้นให้ลูกฟังก่อนนอน เรื่องแบบนี้จะมีประสบการณ์ร่วมหรือรู้สึกไปกับเหตุการณ์น้อยกว่าเรื่องแบบที่สอง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าด้อยค่าไปกว่ากันเลย เพราะว่าเรื่องเล่าแบบนี้สามารถสร้างความอยากติดตามให้แก่ผู้ฟังได้ หากตัวคนเล่าเองเปิดใจเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังเล่าอยู่แบบหมดเปลือก
4.เล่าเพราะจำเป็นจะต้องเล่า แบบเด็กนักเรียนที่ต้องไปยืนพูดหน้าชั้นเรียน แล้วเล่าเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็จะเล่าแบบสะดุดเป็นห้วงๆ และไม่น่าสนใจไม่น่าติดตาม เรื่องเล่าแบบนี้หมดสิ้นทั้งความเชื่อในสิ่งที่กำลังเล่าอยู่ของตัวผู้เล่าเอง และความมีอารมณ์ร่วมหรือรู้สึกตามไปกับเรื่องที่เล่านั้นๆ
เพราะการเริ่มด้วยเรื่องที่ตัวเองรู้จัก เข้าใจ และมีจดจำรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงที่น่าสนใจนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น หากคุณเป็นคนที่มีปมปัญหากับพี่หรือน้อง ทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คุณก็อาจจะได้งานน่าสนใจสุดๆ จากการนำเรื่องเหล่านั้นมาเล่าผ่านหนังของคุณ หรือหากคุณเป็นพนักงานออฟฟิตที่โดนเจ้านายกดขี่และเป็นทุกข์ด้วยปัญหาต่างๆ คุณก็สามารถนำเอาเหตุการณ์นั้นๆ มาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นชั้นดีในการทำหนังของคุณ
แต่มันก็ยังเป็นแค่ “องค์ประกอบหนึ่ง” เท่านั้นนะครับ เพราะอีกองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการเริ่มคิดเรื่องก็คือคุณจะต้องมี “ความเชื่อ” เป็นอย่างยิ่งกับเรื่องที่คุณจะเล่า แม้ว่าหากเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคุณ แต่ถ้าคุณไม่มีความเชื่อในการที่จะถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างน่าสนใจ มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำหนังเรื่องนั้นๆ ขึ้นมา ความเชื่อที่ว่านั้นก็คือ เชื่อว่าเรื่องที่คุณคิดนั้นจะต้องมีพลังออกมาและส่งผลไปยังความรู้สึกนึกคิดของคน.....ความเชื่อที่ว่านั้นก็คือ เชื่อว่าเรื่องที่คุณคิดนั้นจะต้องมีพลังออกมาและส่งผลไปยังความรู้สึกนึกคิดของคนที่คุณอยากให้มาดูหนังของคุณ ให้เขาหัวเราะ,ร้องไห้ หรือฮึกเหิมเปี่ยมด้วยกำลังใจ จนกระทั่งเมื่อหนังจบก็ได้ซึบซับเอาสาระต่างๆ ที่คุณสอดแทรกเอาไว้ในหนังไปโดยไม่รู้ตัว รวมไปถึงเชื่อมั่นในตัวเองว่าเรื่องที่กำลังทำอยู่นั้นน่าสนใจจริงๆ และเชื่อว่ามันได้กลั่นกรองมาจากก้นบึ้งของหัวใจคุณแล้วจริงๆ การมีความเชื่อเช่นนี้ คุณสามารถทำหนังอะไรก็ได้ทุกแบบครับ ตามรูปแบบข้างต้นก็จะตั้งแต่ข้อ 1 ถึง 3 นั่นแหละ คือ แม้แต่เรื่องที่แต่งด้วยจินตนาการของคุณ สร้างโลกอุปโลกน์ขึ้นมาจากอากาศธาตุ ถ้าคุณทำหนังอย่าง Lord of the ring เมื่อคุณมีความเชื่อ คุณก็สามารถทำให้คนอื่นเชื่อได้ว่ามัจฉิมโลกมีอยู่จริง แต่...สุดท้ายก็ต้องมีคำว่าแต่ การมีประสบการณ์ร่วมหรือการมีความเชื่อในเรื่องที่จะเล่าอย่างเต็มเปี่ยม ก็อาจจะไม่ได้ทำให้คุณสามารถทำหนังในแบบที่คุณอยากทำได้อย่างสมบูรณ์พร้อมโดยแท้จริง เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะความเป็นจริงอย่างไรล่ะ
ความเป็นจริงจากปัจจัยรอบๆ ตัวคุณ เช่น คุณมีกล้อง มีไมค์บูมสำหรับอัดเสียง มีทีมงานสองสามคน มีบ้านหนึ่งหลัง และเพื่อนอีกไม่กี่คนที่พร้อมจะแสดงให้ ข้อจำกัดมากมายมักชอบมาบีบให้ความคิดสร้างสรรค์ของคนทำหนังต้องหดแคบลง อย่างเช่น หากคุณเล่าเรื่องของตัวเอง และมีฉากที่คุณอยู่ในงานฉลองปีใหม่และเป็นฉากสำคัญต่อเรื่อง เพราะในฉากนี้คุณจะต้องโดนหักอกในขณะเดียวกันคุณก็จะพบรักใหม่ แต่คุณกำลังถ่ายหนังช่วงกลางปี และไม่อาจจะรออีก 6 เดือนเพื่อถ่ายฉากนี้ได้ เพราะนักแสดงอาจจะตัดผม อาจจะไปเรียนต่อเมืองนอก และงบประมาณการสร้างอาจจะถูกใช้หมดไปเสียก่อน แล้วที่นี่จะทำไงดีล่ะ
ก็มาสู่ข้อเท็จจริงที่ว่า บางครั้งคนทำหนังที่ดีก็ต้องคิดเรื่องและเขียนบทให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อจำกัด ในขณะที่ก็ยังสะท้อนตัวตนและเล่าเรื่องในแบบที่อยากเล่าได้ สามารถรักษาสมดุลของตาชั่งทั้งสองข้าง ผมเองขอยอมรับว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากเสียหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นที่จะต้องทำน่ะครับ แปลว่าเมื่อเริ่มต้นทำหนังสั้นเรื่องแรก ความ “เอาแต่ใจตัวเอง” และความยึดมั่นถือมั่นในการจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็นปรากฏบนหนังตนเอง หรือใส่สิ่งที่ชอบลงไปในเนื้องานของผู้กำกับไม่ควรมีมากจนเกินไป
องค์ประกอบของการเขียนบทภาพยนตร์
เมื่อสามารถคิดและเขียนเรื่องโดยรู้จักที่จะประนีประนอมกับตัวเองได้แล้ว ก็มาสู่ขั้นการเขียนบท ทุกอย่างในขั้นตอนนี้จะง่ายขึ้นเมื่อคุณมีโครงเรื่องที่เรียบร้อยดีอยู่แล้ว คุณก็แค่ยึดเอาโครงเรื่องนี้มาไว้กับตัว และจำหลักการง่ายๆ ดังต่อไปนี้ที่คุณควรจะยึดติดเอาไว้
1.จำไว้เสมอว่าตัวเองกำลังเล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร หมายความว่าพยายามยึดเรื่องให้อยู่กับประเด็นหลักเอาไว้ เพราะว่ามีคนทำหนังมากมายที่หลงทางไปกับประเด็นแยกย่อย หรือเพิ่มเติมเนื้อหาบางอย่างเข้าไปทั้งๆ ที่มันไม่ได้ส่งผลใดๆ กับเรื่องราวที่กำลังเล่าอยู่เลย ยิ่งเป็นหนังสั้นด้วยแล้ว การเดินเข้าสู่ประเด็นหลักอย่างมั่นคงยิ่งเป็นเรื่องจำเป็น
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณกำลังเล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่ตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่ง และจีบเธอโดยการส่งดอกไม้ทุกวัน คุณอาจจะขยายเรื่องราวว่า ชีวิตชายหนุ่มคนนี้เป็นอย่างไร เพื่ออธิบายว่าทำไมเขาถึงมาชอบหญิงสาวคนนี้ และอาจจะอธิบายเกี่ยวกับตัวหญิงสาวได้ว่า ชีวิตของเธอเป็นอย่างไรและทำไมเธอถึงกลายมาเป็นคนที่ชายหนุ่มหลงรัก แต่เรื่องจะหลงทางทันทีหากคุณไปเล่าเรื่องของแม่พระเอก หรือพ่อของนางเอก โดยที่มันไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อการที่พระเอกตามจีบนางเอก เว้นแต่ว่าจะเป็นเรื่องความรักของรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับความรักของรุ่นลูกด้วยได้ การเล่าเรื่องที่ออกนอกประเด็นนั้นจะนำพามาทั้งความสับสนแก่คนดูว่า ตกลงแล้วคนทำหนังพยายามจะบอกอะไรกันแน่ ยังอาจจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายเล็กน้อยขึ้นมาอีกด้วย การแก้ปัญหาตรงนี้นอกจากจะขึ้นอยู่กับการวางโครงเรื่องรัดกุมแล้ว ยังอยู่ที่การเขียนบทที่มีสมาธิอีกด้วย
2. เดินเรื่องไปข้างหน้าอยู่ตลอด อย่างที่เกริ่นไว้ในหัวข้อการคิดเรื่อง การที่ทำให้เรื่องเดินหน้าไปตลอดนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังที่ต้องการให้คนดูได้รับความบันเทิง ยกตัวอย่างเช่น หากเราปูเรื่องไว้แล้วว่าพระเอกทำงานออฟฟิตที่น่าเบื่อหน่าย เพื่อนๆ ไม่ชอบหน้าเขา การบอกเล่าตรงนี้ควรจะเป็นแค่ครั้งหรือสองครั้งก็ได้ แต่หากมีบ่อยๆ ซ้ำๆ เกินควรอาจจะทำให้คนดูรู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องที่กำลังดูอยู่ และพาลหมดความสนใจแก่ตัวหนังทั้งเรื่องไปได้
3.การยึดหลัก 3 องค์ ปรกติถ้าเป็นตำราเขียนบท เรื่องของ 3 องค์มักจะมาเป็นลำดับแรก แต่สำหรับผม ผมมองว่าเรื่องของโครงสร้างการเขียนบทนั้น มันยังจำเป็นน้อยกว่า 2 หัวข้อก่อนหน้านี้ หลัก 3 องค์ที่ว่าซึ่งคนที่เรียนเขียนบทหนังหรือบทละครมาก็คงจะรู้จักกันดีนะครับ
องค์แรกก็คือการปูเรื่อง เปิดตัวละคร จนเกิดเหตุการณ์พลิกผันกับตัวละคร นำไปสู่องค์ที่ 2เช่น พระเอกเป็นพนักงานออฟฟิตธรรมดา โดยเจ้านายกดขี่ แฟนแอบนอกใจไปเป็นชู้กับเพื่อน แล้วจู่ๆ ก็มีคนเดินมาบอกว่า เขาคือสุดยอดนักฆ่าที่มีพลังมหาศาล และอยากชวนเขาเข้าร่วมองค์กร และพระเอกได้เจอฝ่ายเหล่าร้ายตามไล่ล่า จนตัดสินใจว่าจะต้องเข้าร่วมกับองค์กรนี้
องค์ที่สองก็คือส่วนกลางเรื่อง เล่าเรื่องที่ปูไปสุดจุดหักเหอีกครั้งก่อนจะเข้าส่ climax (ช่วงจบ)ตัวอย่างเช่น พระเอกมาฝึกฝนการต่อสู้กับองค์กรที่ชวนเขามาเข้าพวกจนสำเร็จสุดยอดวิชา แต่กลายเป็นว่าองค์กรนี้แท้จริงชั่วร้าย เลยต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรระหว่างหนีไปหรือทำลายองค์กรนี้
องค์ที่สามก็คือบทสรุปของเรื่องน่ะแหละครับ ตัวอย่างก็เช่น พระเอกตัดสินใจจะไม่หนีและสู้กับองค์กรร้าย การต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านแต่สุดท้ายพระเอกก็เป็นฝ่ายกุมชัยชนะ เรื่องจบลงโดยการที่พระเอกตัดสินใจใช้ความสามารถของตนผดุงคุณธรรม
คุณสามารถนำหลัก 3 องค์ไปปรับใช้ได้กับการเล่าเรื่องทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะโรแมนติก สยองขวัญ หรือหนังแอ็คชั่นเลือดท่วม จนเมื่อคุณแม่นกับการทำหนังตามหลัก 3 องค์แล้ว คุณก็สามารถจะ “แหกกฎ” โดยการไม่ทำตามนี้เลยก็ได้ เพราะมันอาจจะนำมาซึ่งสิ่งแปลกใหม่และสร้างสรรค์ แต่ก่อนหน้านั้น มันก็เหมือนกับที่เขาว่ากันว่า ก่อนจะวิ่งได้ต้องหัดเดินก่อนน่ะแหละครับ เพราะถ้าเกิดยังเดินไม่ได้แล้วมาวิ่งเลยนี่ โอกาสที่จะสะดุดหกล้มหัวคะมำก็เป็นไปได้สูงทีเดียว
4. เขียนให้คนอื่นๆ สามารถเห็นภาพตามไปด้วยได้ คนทำหนังทุกคนไม่ควรทำหนังคนเดียวครับ เพราะว่ามันเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะไหนจะต้องมีสมาธิกับการกำกับ มีสมาธิว่าต่อไปจะต้องถ่ายฉากอะไรต่อ จะพักกินข้าวตอนไหน จะวางมุมกล้องยังไง ฯลฯ สารพัดครับ การเขียนบทที่สามารถทำให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจได้ง่าย มองเห็นภาพในหนังได้ตรงกัน และทำให้การทำงานง่ายขึ้น
แต่ถ้าถามว่าเขียนอย่างไรถึงจะให้เป็นเช่นนั้นได้ อธิบายง่ายๆ เลยนะครับ ก็คือ อย่างเช่น ฉากที่พระเอกเดินเข้ามาในห้อง มันอาจจะมีรายละเอียดด้วยว่า “พระเอกเปิดประตูเข้ามาในห้อง เดินเข้ามาแล้วก็ปิดประตู จากนั้นก็เดินผ่านกองหนังสือเก่าที่วางระเกะระกะ ตรงเข้าไปนั่งที่โซฟาสีน้ำเงิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากประตูสักเท่าไหร่ ข้างๆ โซฟามีหน้าต่าง มองออกไปเห็นท้องฟ้าสีคราม พระเอกเมื่อนั่งลงแล้ว เขาก็นั่งนิ่งไม่ได้ทำอะไร”
นี้คือหลักการเขียนบทเบื้องต้น ฉบับย่อๆครับผม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น