วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558
สุรา
สุรา (อังกฤษ: liquor หรือ spirit) หมายถึง น้ำเมาที่ได้จากการกลั่นสารบางประเภท อาทิ เอทิลแอลกอฮอล์และ เมรัย คือ น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่ให้เกิดสารบางประเภท
เมื่อดื่มแล้วสารนั้นจะออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง
หากดื่มไม่มากอาจรู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากสารกดจิตใต้สำนึกที่คอยควบคุมตนเองทำให้กล้าแสดงออกมากขึ้น
แต่เมื่อดื่มมากขึ้นก็จะกดสมองบริเวณอื่น ๆ ทำให้เสียการทรงตัว พูดไม่ชัด
จนแม้กระทั่งหมดสติในที่สุด ทั้งสุราและเมรัยเรียกโดยภาษาปากว่า "เหล้า"
ประเทศต่าง ๆ
ได้วางกฎเกณฑ์สำหรับการผลิต การขาย และการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ตัวอย่างเช่น กฎหมายที่กำหนดอายุขั้นต่ำสำหรับผู้ที่สามารถบริโภคได้อย่างถูกกฎหมาย
ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเทศ เช่น อายุไม่ต่ำกว่า 16 ปีสำหรับประเทศเยอรมนี
ฝรั่งเศส ออสเตรียและสวิสเซอร์แลนด์, ไม่ต่ำกว่า 18 ปีในประเทศไทย หรือไม่ต่ำกว่า 21 ปีในสหรัฐอเมริกา
การบริโภคทั้งสุราและเมรัยเป็นข้อห้ามในข้อสุราเมรยมัชปมาทัฏฐานหรือข้อที่
5 แห่งเบญจศีลของพุทธศาสนาซึ่งว่า "สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี
สิกฺขาปทํสมาทิยามิ" แปลได้ว่า
"เราจักถือศีลโดยเว้นจากการบริโภคสุรายาเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท"
การทำเมรัยอาศัยยีสต์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดหนึ่งเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์
เมรัยผลิตได้จากวัตถุดิบทุกอย่างที่มีน้ำตาล แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป
เมรัยทำจากน้ำตาลโตนดเรียกว่าน้ำตาลเมาหรือตวาก จากน้ำตาลขององุ่นเรียกว่าไวน์ เป็นต้น มนุษย์ยังรู้จักใช้เชื้อรา (บางชนิด)
เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ ทุกอย่างที่เป็นแป้ง เช่น ข้าว
ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ สามารถใช้ผลิตเมรัยได้ สาโท น้ำขาว อุ และ กระแช่ ผลิตจากแป้ง
หากต้องการให้มีฤทธิ์แรงขึ้นก็นำเอาไปกลั่นเป็นสุรา
หลังจากนั้นสามารถนำไปดื่มหรือนำไปหมักหรือบ่มต่อไป
เหล้ามีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ
แม้ว่าในเหล้าชนิดต่าง ๆ ยังมีสารอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดเอกลักษณ์ของเหล้าชนิดนั้น ๆ
โดยเฉพาะเหล้าที่นำมาหมักดองกับสมุนไพรเพื่อปรุงแต่งสี กลิ่น รสชาติและสรรพคุณ
เช่น เหล้าดองยาของไทย เหล้าเซี่ยงชุนของจีนเหล้าแคมปารีของอิตาลี
เป็นต้น สารปรุงแต่งเหล่านี้เมื่อดื่มในปริมาณมาก หรือ ติดต่อกันเป็นเวลานาน
ก็อาจส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ดื่มได้ แต่เมื่อดื่มในระยะเฉียบพลัน อาการต่าง
ๆ ของผู้ดื่มนับได้ว่าเกิดจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น
แอลกอฮอล์เป็นของเหลว ใส ระเหยได้ง่าย
ละลายน้ำได้ดี มีกลิ่นเฉพาะตัว และ ติดไฟได้ง่าย
แอลกอฮอล์เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบไปด้วยคาร์บอนไฮโดรเจน และ ออกซิเจนมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง
ความรุนแรงของการออกฤทธิ์ขึ้นอยู่กับปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในกระแสโลหิต
แอลกอฮอล์ที่กินได้ คือแอลกอฮอล์ชนิดเอทิล
ส่วนแอลกอฮอล์ชนิดอื่นล้วนกินไม่ได้และเป็นพิษต่อร่างกายมากยิ่งไปกว่าเอทิล
ถ้าเอาแอลกอฮอล์ชนิดอื่น เช่น เมทิลแอลกอฮอล์มาผสมเป็นเหล้า
กินเข้าไปแล้วทำให้ปวดหัว ตาพร่า จนบอด และถึงกับเสียชีวิตได้
เมื่อกินเหล้าเข้าไปผ่านกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้เล็ก แอลกอฮอล์ในเหล้าจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตและกระจายไปทั่วร่างกาย
เมื่อกินอาหารมาก่อน แอลกอฮอล์ใช้เวลา 1 ถึง6 ชั่วโมง
จึงจะถูกดูดซึมไปถึงระดับสูงสุดในเลือด แต่ถ้ากินเหล้าในขณะที่ท้องว่าง
แอลกอฮอล์ใช้เวลาถูกดูดซึมสู่ ระดับสูงสุดในเลือด เพียง 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง
แอลกอฮอล์ในร่างกายถูกกำจัดโดยตับเป็นส่วนใหญ่ (95 เปอร์เซ็นต์)
ที่เหลือถูกขับออกทางลมหายใจ ปัสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ น้ำนม และน้ำลาย
แอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว
เกิดการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย แอลกอฮอล์ในปริมาณมากทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้เกิดอาการอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
แอลกอฮอล์ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ผู้ที่กินเหล้าจึงปัสสาวะบ่อย
สูญเสียน้ำและรู้สึกกระหายน้ำมากในเวลาต่อมา อีกประการหนึ่ง บรรยากาศวงเหล้า
ผนวกกับพลังงานที่ได้จากเหล้ามักทำให้ผู้ดื่มไม่รู้สึกอยากอาหาร
ดังนั้นผู้ที่กินเหล้าเป็นนิจจึงอาจขาดสารอาหารได้
ที่สำคัญแอลกอฮอล์ทำให้เกิดความเสียหายที่เนื้อตับ คนกินเหล้าจึงมีโอกาสเป็นตับอักเสบมากกว่าคนไม่กินและอาจพัฒนาไปถึงขั้นตับวายได้
มีความเชื่อต่าง ๆ
เกี่ยวกับฤทธิ์ของเหล้าและแอลกอฮอล์ ถูกบ้างผิดบ้าง
ผู้ที่นิยมดื่มก็มักอ้างฤทธิ์อันเป็นคุณของเหล้าหรือแอลกอฮอล์มาบดบังฤทธิ์ที่ก่อให้เกิดโทษซึ่งมีมากกว่าหลายเท่านัก
เช่น
แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้จริงแต่ไม่สามารถทำลายไข่หรือตัวอ่อนของพยาธิที่ปะปนมากับกับแกล้มดิบ
ๆ สุก ๆ ได้ และยิ่งไม่สามารถฆ่าพยาธิ์ตัวแก่ในลำไส้ได้ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง
แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ผู้นิยมดื่มก็มักอ้างว่ากินเหล้าเพื่อให้เลือดลมดี
ซึ่งก็เป็นจริงเมื่อกินเหล้าในปริมาณน้อย (ถึงน้อยมาก) แต่เมื่อกินเหล้ามาก
แอลกอฮอล์จะกดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้พูดจาไม่ชัด ทรงตัวลำบาก สายตาพร่ามัว
ขาดสติ ตับแข็งและอาจเกิดอันตรายนานับปการต่อผู้ดื่มและคนรอบข้าง
เทคนิค มุมกล้อง หนังสั้น
เทคนิค มุมกล้อง หนังสั้น
เทคนิคมุมกล้อง
การถ่ายภาพในมุมที่ต่างกัน
ยังมีผลต่อความคิดความรู้สึกที่จะสื่อความหมายไปยังผู้ดูได้
เราอาจแบ่งมุมกล้องได้เป็น 3 ระดับ คือ
ภาพระดับสายตา คือ
การถ่ายภาพในตำแหน่งที่อยู่ในระดับสายตาปรกติที่เรามองเห็น ขนานกับพื้นดิน
ภาพที่จะได้จะให้ความรู้สึกเป็นปรกติธรรมดา
ภาพมุมต่ำการถ่ายภาพในมุมต่ำ คือ การถ่ายในต่ำแหน่งที่ต่ำกว่าวัตถุ
จะให้ความรู้สึกถึงความสูงใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นจริง แสดงถึงความสง่า
การถ่ายภาพมุมสูง คือ การตั้งกล้องถ่ายในต่ำแหน่งที่สูงกว่าวัตถุ
ภาพที่ได้จะให้ความรู้สึกถึงความเล็กความต้อยต่ำ ไม่มีความสำคัญ
เทคนิคการซูมและการโพกัส
1.ในขณะที่ซูมไม่ควรเดินหรือเคลื่อนไหว
เพราะจะทำให้วีดีโอที่ได้มีโอกาสสั่นไหวสูง
2.หากต้องการเคลื่อนที่ด้วยขณะซูม ขอแนะนำให้ดึงซูมออกมาให้สุดก่อน แล้วค่อยกดปุ่มบันทึก จากนั้นให้เดินเข้าไปแทนการซูมเลนส์
3.อย่าสนุกกับการซูมจนมากเกินไป เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เพิ่มเริ่มเล่นกล้องมักจะชอบดึงซูมเข้า/ออก ทำให้ภาพที่ได้น่ามึนหัว เหมือนกำลังกระแทรกกำแพงโป๊กๆที่จริงแล้วการซูมจะทำเมื่อต้องการดูรายละเอียดของเหตุการณ์ เพื่อบ่งบอกเรื่องราว หรือซูมออกเพื่อแสดงภาพรวมของเหตุการณ์นั้นๆ พูดง่ายๆ จะซูมก็ควรมีเหตุมีผลมีเรื่องราวที่จะเล่าจากการซูมจริงๆ
4.ควรหยุดซูมเสียก่อนค่อยเคลื่อนไหวกล้อง หรือซูมก่อนบันทึกภาพ จุดนี้จะช่วยให้วีดีโอที่ได้น่าสนใจมากขึ้น เช่น การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในท้องทะเล อาจจะตั้งกล้องซูมเข้าไปที่เรือจากนั้นกดปุ่มบันทึก แล้วค่อยๆซูมออกมาให้เห็นท้องทะเล
2.หากต้องการเคลื่อนที่ด้วยขณะซูม ขอแนะนำให้ดึงซูมออกมาให้สุดก่อน แล้วค่อยกดปุ่มบันทึก จากนั้นให้เดินเข้าไปแทนการซูมเลนส์
3.อย่าสนุกกับการซูมจนมากเกินไป เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เพิ่มเริ่มเล่นกล้องมักจะชอบดึงซูมเข้า/ออก ทำให้ภาพที่ได้น่ามึนหัว เหมือนกำลังกระแทรกกำแพงโป๊กๆที่จริงแล้วการซูมจะทำเมื่อต้องการดูรายละเอียดของเหตุการณ์ เพื่อบ่งบอกเรื่องราว หรือซูมออกเพื่อแสดงภาพรวมของเหตุการณ์นั้นๆ พูดง่ายๆ จะซูมก็ควรมีเหตุมีผลมีเรื่องราวที่จะเล่าจากการซูมจริงๆ
4.ควรหยุดซูมเสียก่อนค่อยเคลื่อนไหวกล้อง หรือซูมก่อนบันทึกภาพ จุดนี้จะช่วยให้วีดีโอที่ได้น่าสนใจมากขึ้น เช่น การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในท้องทะเล อาจจะตั้งกล้องซูมเข้าไปที่เรือจากนั้นกดปุ่มบันทึก แล้วค่อยๆซูมออกมาให้เห็นท้องทะเล
การแพนกล้อง
การแพนกล้องที่ดีต้องมีจังหวะที่จะแพน คือต้องมีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของการแพน จุดนี้เองคนที่อยู่เบื้องหลังคอยตัดต่อภาพทั้งหลายมันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะตัดต่อภาพ โดยมีภาพทีแกว่งไปแกว่งมา หรือวูบวามไปมา เมื่อนำมาร้อยใส่ภาพนิ่งๆจะรู้สึกได้เลยว่าไม่เข้ากัน พลอยทำให้ดูไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ ไม่นิ่มนวลสมจริง บางครั้งรู้สึกว่าโดดไปโดดมา หากจะให้ตัดต่อได้สะดวกและภาพสมบูรณ์ การแพนจะต้องมีจุดเริ่ม คือเริ่มจากถือกล้องให้นิ่งเสียก่อน จากนั้นกดปุ่มบันทึกภาพแล้วค่อยแพน และจุดจบ คือนิ่งทิ้งท้ายตอนจบอีกเล็กน้อย เพื่อบอกคนดูให้เตรียมพร้อมและพักสายตาระหว่างชมภาพ
การแพนกล้องที่ดีต้องมีจังหวะที่จะแพน คือต้องมีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของการแพน จุดนี้เองคนที่อยู่เบื้องหลังคอยตัดต่อภาพทั้งหลายมันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะตัดต่อภาพ โดยมีภาพทีแกว่งไปแกว่งมา หรือวูบวามไปมา เมื่อนำมาร้อยใส่ภาพนิ่งๆจะรู้สึกได้เลยว่าไม่เข้ากัน พลอยทำให้ดูไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ ไม่นิ่มนวลสมจริง บางครั้งรู้สึกว่าโดดไปโดดมา หากจะให้ตัดต่อได้สะดวกและภาพสมบูรณ์ การแพนจะต้องมีจุดเริ่ม คือเริ่มจากถือกล้องให้นิ่งเสียก่อน จากนั้นกดปุ่มบันทึกภาพแล้วค่อยแพน และจุดจบ คือนิ่งทิ้งท้ายตอนจบอีกเล็กน้อย เพื่อบอกคนดูให้เตรียมพร้อมและพักสายตาระหว่างชมภาพ
การบันทึกเป็นช็อต
“ช็อต” คือการเริ่มบันทึก เพื่อเริ่มเทปเดินและเริ่มบันทึกลงม้วนเทป
จนกระทั่งกดปุ่ม Rec อีกครั้ง เพื่อเลิกการบันทึก
แบบนี้เค้าเรียกว่า 1 ช็อต
การถ่ายเป็นช็อคไม่ควรปล่อยให้ช็อตไม่ควรปล่อยให้ช็อตนั้นยืดยาวไปนัก
คือไม่ควรเกิน 5 วินาทีต่อ 1 ช็อต
วิธีการบันทึกเป็นช็อต
การถ่ายเป็นช็อตนี้ จะต้องเลือกมุม
เลือกระยะที่จะถ่ายก่อน เลือกว่าจะถ่ายแบบไหนที่จะได้องค์ประกอบครบถ้วน
ยกกล้องขึ้นส่อง จัดองค์ประกอบ แล้วถือให้นิ่ง กดบันทึก นับ 1-2-3-4-5 แล้วกดหยุด ในระหว่างกดบันทึกห้ามสั่น
ห้ามไหวเด็ดขาด วิธีการไม่ยากนัก โดยให้รอจังหวะ หลักการง่ายๆคือนิ่งๆเข้าไว้
และไม่จำเป็นต้องถ่ายทั้งหมดหรือถ่ายยืดยาว เลือกแค่เป็นช็อตสำคัญก็พอ
รูปแบบการบันทึกเป็นช็อต
Shot ในความหมายของระยะการถ่ายทำภาพยนตร์อาจแบ่งจากลักษณะที่ใช้ในการถ่ายทำได้ดังนี้
1. ELS หรือ Extreme
Long Shot เป็นการถ่ายภาพระยะไกลที่สุด เช่นเห็นเมืองทั้งเมือง
ผืนป่าทั้งป่า หรือทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา
ซึ่งเป็นช็อตที่มักพบมากในหนังประเภท Epic หรือหนังมหากาพย์ที่เล่าเรื่องราวใหญ่โต
จึงมีฉากที่แสดงความอลังการ อย่างไรก็ตามในหนังเพื่อศิลปะหลายเรื่องการถ่ายภาพในระยะนี้ก็ใช้เพื่อวัตถุ
ประสงค์อื่นๆ เช่น ความไม่แน่นอน น่าสงสัย ความโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา เช่นหนังของ
มิเกลแองเจโล่ แอนโทนิโอนี่
2. LS หรือ Long Shot เป็นการถ่ายภาพระยะไกล พื้นที่ที่มากกว่าตัวละครทำให้เราใกล้ชิดกับฉากหรือทัศนียภาพมากกว่าความ รู้สึก ผลดังกล่าวทำให้ช็อตนี้มักใช้ในหนังเพื่อแสดงบรรยากาศเย็นชา หรือธรรมชาติที่ดูมีอิทธิพลเหนือผู้คน ในกรณีที่ใช้ถ่ายทำสถานที่เพื่อแนะนำเรื่องว่าเป็นฉากใด ซึ่งมักเป็นฉากเปิด งานทางด้านภาพยนตร์มักจะถ่ายฉากประเภทนี้เก็บไว้เพื่อความจำเป็นในการเล่า เรื่อง มักเรียกว่า Established Shot
3. MLS หรือ Medium Long Shot ช็อตที่อยู่ระหว่างระยะไกล และระยะ MS มักถ่ายเพื่อเปิดให้เห็นบุคคล กับวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไป เช่น หมู่คณะหลายคน, ภาพคนกับพื้นที่ปิด หรือพื้นที่เปิด ซึ่งก็ให้ความหมายของภาพต่างกัน
4. MS หรือ Medium Shot เป็นช็อตที่ได้รับความนิยมที่สุด เพราะใช้ในการดำเนินเรื่อง และสนทนา ภาพออกมาอยู่ในระดับที่สบายตา โดยธรรมชาติของช็อตแบบนี้ไม่เน้นอารมณ์ร่วมกับผู้ชม แต่เน้นให้เพื่อใช้สำหรับเล่าเรื่อง ฉากการสนทนา บ้างก็เรียกว่า Two Shot คือเป็นช็อตที่ถ่ายให้เห็นคนสองคนทั้งตัว ไปจนระดับลำตัวถึงหัว
5. MCU หรือ Medium Close Up กึ่งกลางระหว่าง MS กับ Close Up เป็นอีกหนึ่งช็อตที่เรามักเห็นบ่อยๆ ในการถ่ายทำภาพยนตร์สำหรับผู้ชมวงกว้าง
6. CU หรือ Close Up ระยะใกล้ เป็นระยะที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกตัวละครเป็นหลัก ไม่ว่าจะโกรธ เศร้า ดีใจ และใบหน้าของมนุษย์ยังแสดงอารมณ์ได้หลากหลาย ช็อตนี้ตัวอย่างที่มักได้รับการกล่าวถึงบ่อยคือ City Light ของ ชาร์ลี แชปลิน ตลอดทั้งเรื่องเราเห็นอารมณ์ขันของเขาในระยะไกล หรือระยะกลางภาพ แต่เมื่อช่วงท้ายต้องการเร้าอารมณ์ตัวละครหลักได้ถูกจับภาพใบหน้าเป็นครั้ง แรก มันจึงส่งผลให้เราคล้อยตามได้
7. ECU หรือ Extreme Close Up ระยะใกล้มาก เป็นระยะภาพที่เน้นความรู้สึกในระดับที่สูงขึ้นกว่า CU เช่น ถ่ายภาพดวงตาในระยะประชิด หรืออวัยวะบางอย่างเพื่อแสดงอากัปกิริยาที่มีนัยยะต่างไปจากการแสดงออกอย่าง อื่น เพราะการส่งผลทางภาพที่ให้อารมณ์สุดโต่ง เราจึงมักเห็นช็อตนี้ในหนังสยองขวัญ หนังทดลอง หรือหนังทางด้านศิลปะบ่อยกว่าหนังสำหรับผู้ชมทั่วไป
2. LS หรือ Long Shot เป็นการถ่ายภาพระยะไกล พื้นที่ที่มากกว่าตัวละครทำให้เราใกล้ชิดกับฉากหรือทัศนียภาพมากกว่าความ รู้สึก ผลดังกล่าวทำให้ช็อตนี้มักใช้ในหนังเพื่อแสดงบรรยากาศเย็นชา หรือธรรมชาติที่ดูมีอิทธิพลเหนือผู้คน ในกรณีที่ใช้ถ่ายทำสถานที่เพื่อแนะนำเรื่องว่าเป็นฉากใด ซึ่งมักเป็นฉากเปิด งานทางด้านภาพยนตร์มักจะถ่ายฉากประเภทนี้เก็บไว้เพื่อความจำเป็นในการเล่า เรื่อง มักเรียกว่า Established Shot
3. MLS หรือ Medium Long Shot ช็อตที่อยู่ระหว่างระยะไกล และระยะ MS มักถ่ายเพื่อเปิดให้เห็นบุคคล กับวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไป เช่น หมู่คณะหลายคน, ภาพคนกับพื้นที่ปิด หรือพื้นที่เปิด ซึ่งก็ให้ความหมายของภาพต่างกัน
4. MS หรือ Medium Shot เป็นช็อตที่ได้รับความนิยมที่สุด เพราะใช้ในการดำเนินเรื่อง และสนทนา ภาพออกมาอยู่ในระดับที่สบายตา โดยธรรมชาติของช็อตแบบนี้ไม่เน้นอารมณ์ร่วมกับผู้ชม แต่เน้นให้เพื่อใช้สำหรับเล่าเรื่อง ฉากการสนทนา บ้างก็เรียกว่า Two Shot คือเป็นช็อตที่ถ่ายให้เห็นคนสองคนทั้งตัว ไปจนระดับลำตัวถึงหัว
5. MCU หรือ Medium Close Up กึ่งกลางระหว่าง MS กับ Close Up เป็นอีกหนึ่งช็อตที่เรามักเห็นบ่อยๆ ในการถ่ายทำภาพยนตร์สำหรับผู้ชมวงกว้าง
6. CU หรือ Close Up ระยะใกล้ เป็นระยะที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกตัวละครเป็นหลัก ไม่ว่าจะโกรธ เศร้า ดีใจ และใบหน้าของมนุษย์ยังแสดงอารมณ์ได้หลากหลาย ช็อตนี้ตัวอย่างที่มักได้รับการกล่าวถึงบ่อยคือ City Light ของ ชาร์ลี แชปลิน ตลอดทั้งเรื่องเราเห็นอารมณ์ขันของเขาในระยะไกล หรือระยะกลางภาพ แต่เมื่อช่วงท้ายต้องการเร้าอารมณ์ตัวละครหลักได้ถูกจับภาพใบหน้าเป็นครั้ง แรก มันจึงส่งผลให้เราคล้อยตามได้
7. ECU หรือ Extreme Close Up ระยะใกล้มาก เป็นระยะภาพที่เน้นความรู้สึกในระดับที่สูงขึ้นกว่า CU เช่น ถ่ายภาพดวงตาในระยะประชิด หรืออวัยวะบางอย่างเพื่อแสดงอากัปกิริยาที่มีนัยยะต่างไปจากการแสดงออกอย่าง อื่น เพราะการส่งผลทางภาพที่ให้อารมณ์สุดโต่ง เราจึงมักเห็นช็อตนี้ในหนังสยองขวัญ หนังทดลอง หรือหนังทางด้านศิลปะบ่อยกว่าหนังสำหรับผู้ชมทั่วไป
ข้อดีของการบันทึกเป็นช็อต
ช็อตมุมกว้าง คือบอกให้รู้สถานที่ และให้ได้รู้ว่าเป็นงานอะไร
สถานที่ที่ไหน หากว่าถ่ายเห็นป้ายของงงานเข้าไปด้วยยิ่งดี
การถ่ายแบบนี้ดูเป็นเรื่องเป็นราว บอกเล่าเรื่องราวตามลำดับขั้น
ว่ามีใครทำอะไรบ้างไม่ว่าจะเป็นงานพิธีหรือถ่ายกันเล่นๆ
เพราะว่าภาพจะสลับมุมต่างๆมาให้ชมเป็นระยะทำให้ไม่น่าเบื่อ
ช็อตการแพน การยกกล้องขึ้นลงการซูม การเล่นมุมกล้องแบบต่างๆ หรือเล่นมุมกล้องเอียงก็ทำได้เช่นกัน แต่ว่าต้องเริ่มต้นด้วยหลักการถ่ายเป็นช็อตๆให้กระชับและไม่ยืดยาดจะทำให้คนดูไม่เบื่อ ที่มีแต่ภาพแข็งๆทื่อๆดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา
ช็อตการแพน การยกกล้องขึ้นลงการซูม การเล่นมุมกล้องแบบต่างๆ หรือเล่นมุมกล้องเอียงก็ทำได้เช่นกัน แต่ว่าต้องเริ่มต้นด้วยหลักการถ่ายเป็นช็อตๆให้กระชับและไม่ยืดยาดจะทำให้คนดูไม่เบื่อ ที่มีแต่ภาพแข็งๆทื่อๆดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา
เทคนิคการเคลื่อนที่กล้องโดยไม่ให้สั่นไหว
“การไวด์” หรือ” Wide Shot” เป็นวิธีที่ช่วยอำพรางการสั่นไหวของกล้องได้ซึ่งแม้ว่ากล้องจะสั่น
ภาพจะไหว แต่ก็ยังไม่เห็นความแตกต่างเพราะว่ามันมีภาพมุมกว้างที่หลอกตาอยู่
ถ้าหากต้องการที่จะเดินถือกล้องถ่ายแบบนี้ละก็ จะต้องเลือกระยะกล้องที่ไกลสุด
โดยการดึงภาพด้วยการซูมออกมา เรียกว่า”ลองช็อต“(Long
Shot) เป็นประคองกล้องเดินช้าๆแบบนุ่มนวล
โดยไม่ต้องซูมเข้าไปอีก ควรปล่อยให้เป็นภาพมุมกว้างเข้าไว้
การเดินก็สำคัญหากมัวแต่เดินจำพรวดทิ้งน้ำหนักตัวแบบเต็มที่แบบนี้ภาพที่ได้จะกระตุกเป็นจังหวะแน่ๆก็ขอแนะนำให้การเดินถ่ายกล้องนั้นต้องระวังทุกฝีเท้า
การเดินด้วยปลายเท้า เกร็งและย่อขาเล็กน้อยจะช่วยให้กล้องนิ่งและมั่นคงขึ้น
ช่วยให้เดินถ่ายวิดีโอได้อย่างมีคุณภาพ ภาพที่ได้จะนิ่งการถือกล้องแบบแบกบ่า
บางครั้งอาจจะไม่ถนัดสำหรับเดินถ่ายเสมอไป สามารถแก้ไขด้วยการลดกล้องมาอยู่ในมือ
ในอ้อมแขนนั้นจะเป็นการดี เพราะช่วยประคองกล้องได้อีกชั้นด้วยซ้ำไป แถมอาจจะได้มุมที่แปลกตาไปจากการแบกบนบ่า
การถ่ายให้กระชับ
การถ่ายให้กระชับ หมายความว่า การถ่ายวิดีโอที่พยายามให้ภาพนั้นสื่อความหมายในตัวเองมากที่สุด โดยสามารถเล่าเรื่องราวได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร นี่จะช่วยให้เราไม่ต้องเก็บภาพมามากมายและยืดยาว ก็สามารถเข้าใจได้ว่าในเหตุการณ์นั้นๆเกิดอะไรขึ้นบ้าง
การถ่ายให้กระชับ
การถ่ายให้กระชับ หมายความว่า การถ่ายวิดีโอที่พยายามให้ภาพนั้นสื่อความหมายในตัวเองมากที่สุด โดยสามารถเล่าเรื่องราวได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร นี่จะช่วยให้เราไม่ต้องเก็บภาพมามากมายและยืดยาว ก็สามารถเข้าใจได้ว่าในเหตุการณ์นั้นๆเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ระบบวีดีโอในปัจจุบัน
ระบบวีดีโอ มีความสัมพันธ์กับการนำไฟล์วีดีโอไปเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งไฟล์วีดีโอนั้นต้องนำไปเปิดกับโทรทัศน์ หรือเครื่องเล่นอื่นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าของระบบในวีดีโอในขั้นตอนการตัดต่อด้วย ซึ่งแต่ละประเทศจะใช้ระบบไม่เหมือนกัน คือ
- ระบบ PAL เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง แต่การเคลื่อนไหวไม่ค่อยราบรื่น โดยมีอัตราการแสดงภาพ (Frame Rate) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในหลายประเทศ โดยประเทศไทยก็ใช้ระบบนี้
- ระบบ NTSC เป็นระบบที่มีความคมชัดสู้ ระบบ PAL ไม่ได้ แต่การเคลื่อนไหวของภาพจะราบรื่นกว่าระบบ PAL เพราะมีอัตราการแสดงภาพ( Frame Rate ) 29.79 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ที่ประเทศญี่ปุ่น และอเมริกา
- ระบบ SECAM เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง การเคลื่อนไหวของภาพมีความราบรื่น มีอัตราการแสดงผล ( Frame Rate ) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในแถบแอฟริกา
ระบบวีดีโอ มีความสัมพันธ์กับการนำไฟล์วีดีโอไปเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งไฟล์วีดีโอนั้นต้องนำไปเปิดกับโทรทัศน์ หรือเครื่องเล่นอื่นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าของระบบในวีดีโอในขั้นตอนการตัดต่อด้วย ซึ่งแต่ละประเทศจะใช้ระบบไม่เหมือนกัน คือ
- ระบบ PAL เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง แต่การเคลื่อนไหวไม่ค่อยราบรื่น โดยมีอัตราการแสดงภาพ (Frame Rate) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในหลายประเทศ โดยประเทศไทยก็ใช้ระบบนี้
- ระบบ NTSC เป็นระบบที่มีความคมชัดสู้ ระบบ PAL ไม่ได้ แต่การเคลื่อนไหวของภาพจะราบรื่นกว่าระบบ PAL เพราะมีอัตราการแสดงภาพ( Frame Rate ) 29.79 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ที่ประเทศญี่ปุ่น และอเมริกา
- ระบบ SECAM เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง การเคลื่อนไหวของภาพมีความราบรื่น มีอัตราการแสดงผล ( Frame Rate ) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในแถบแอฟริกา
รู้จักกับฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอประเภทต่างๆ
- AVI เป็นไฟล์มาตรฐานทั่วไปของไฟล์วีดีโอ มีความคมชัดสูง แต่ข้อเสียคือมีขนาดใหญ่ สามารถนำไปทำเป็นวีซีดี หรือดีวีดี ก็ได้ โดยผ่านกระบวนการบีบอัดไฟล์ของโปรแกรมนั้นๆ เช่น Nero , NTI
- MPEG เป็นฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากไฟล์มีขนาดเล็ก และมีคุณภาพที่หลากหลาย ตั้งแต่คมชัดที่สุด ไปถึงอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ โดยมีหลายรูปแบบดังนี้
- AVI เป็นไฟล์มาตรฐานทั่วไปของไฟล์วีดีโอ มีความคมชัดสูง แต่ข้อเสียคือมีขนาดใหญ่ สามารถนำไปทำเป็นวีซีดี หรือดีวีดี ก็ได้ โดยผ่านกระบวนการบีบอัดไฟล์ของโปรแกรมนั้นๆ เช่น Nero , NTI
- MPEG เป็นฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากไฟล์มีขนาดเล็ก และมีคุณภาพที่หลากหลาย ตั้งแต่คมชัดที่สุด ไปถึงอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ โดยมีหลายรูปแบบดังนี้
- MPEG – 1 เป็นไฟล์ที่นิยมใช้ทำวีซีดี
โดยมีขนาดที่เล็กมากที่สุด – MPEG – 2 เป็นไฟล์ที่นิยมใช้ทำดีวีดี
โดยไฟล์มีขนาดใหญ่ (แต่ไม่เท่า AVI) แต่คุณภาพในการแสดงผลมีความคมชัดสูง
– MPEG – 4 เป็นไฟล์ที่กำลังได้รับความนิยมมากชึ้น
เนื่องจากมีคุณภาพในการแสดงผลใกล้เคียงกับดีวีดี แต่เป็นไฟล์ขนาดเล็ก
นิยมนำไปใช้ในโทรศัพท์มือถือ , อินเตอร์เน็ต – WMV เป็นฟอร์แมตมาตรฐานของ Windows มีคุณภาพที่ดีฟอร์แมตหนึ่ง
นิยมนำมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต – MOV เป็นฟอร์แมตของโปรแกรม
Quick Time ที่ใช้กับเครื่อง Apple แต่สามารถเปิดใน
Windows ได้เช่นกัน – 3GP เป็นไฟล์ขนาดเล็ก
นิยมใช้ในโทรศัพท์มือถือ
เทคนิคการถ่ายวีดีโอ
เทคนิคการถ่ายวีดีโอ
คุณภาพของหนัง จริงอยู่ว่าคุณลงทุนซื้อกล้องแพงๆ มีฟีเจอร์เพียบ
ถ่ายออกมายังไงก็ชัดเพราะไอซีแสนฉลาดมันควบคุมการปรับแสง สี เสียง ฯลฯ
สารพัดที่คุณเองยังไม่รู้เลยว่าคืออะไรแต่ก็อยากได้เพราะคนขายมันบอกว่าดี
ก็ถ้าเก่งจริงทำไมไม่ให้กล้องมันถ่ายเองเลยล่ะ จะบอกให้ว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือตัวคุณเอง
หนังที่ถ่ายโดยกล้องราคาแสนเจ็ด กับกล้องราคาหมื่นเจ็ดนั้น จะเห็นความแตกต่างชัดๆ
เมื่อนำหนังที่ถ่ายมาผลิตขายจ่ายแจก
แต่ถ้าดูที่บ้านแล้วต้องตาถึงจึงจะมองออกว่าต่างอย่างไร
ดังนั้นถึงคุณจะใช้กล้องแพงแค่ไหนก็ตามคุณภาพของหนังจะตกอยู่กับการถ่าย
ถ้าหนังของคุณชัดแจ๋วแต่ส่ายไปมาเหมือนอยู่ในเรือฝ่าคลื่นทะเลบ้า
หรือถ่ายคนติดแค่ตัวหัวอยู่นอกจอ
หรือเอาแต่ส่ายกล้องตามจับภาพไอ้ตัวเปี๊ยกวิ่งไล่จับกันตลอด
ก็คงมีแต่คุณคนเดียวที่นั่งชื่นชมผลงานชิ้นเอก หนังที่ดีจะเล่าเรื่องให้แก่ผู้ฟัง
พอดูแล้วก็เข้าใจได้เอง รู้ว่าเป็นอะไร เกิดขึ้นที่ไหน และอย่างไร แรกๆ
ก็อย่ากลัวว่าผลงานจะออกมาไม่ได้ระดับหนังหลอด(ลอร์ดออฟเดอะริงก์)หรอกนะ
เอาแค่พอดูได้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว
วิธีบอกเล่าพื้นฐานการถ่ายหนังเล็ก เนื่องจากผมทำเรื่องผิดพลาดมามากดังนั้นแนวทางการถ่ายทอดของผมจะเดินเรื่องโดยบอกสิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยง
แทนที่จะบอกว่าคุณควรทำอะไร หรือบางทีผมก็จะบอกว่าถ้าจะทำอย่างนี้ให้ทำอย่างไร
จะถูกจะผิดก็ลองทำกันดูนะครับ ไม่ใช่ตำราวิชาการนี่ อีกอย่างหนึ่งคือตามที่แจ้งคำเตือนไว้ตอนต้นนั้น
เป็นเพราะว่าการถ่ายเพื่อดูเองที่บ้านนั้นต่างจากการถ่ายเผื่อตัดต่อตรงที่ช่วงเวลาการแช่ภาพสำหรับโฮมวีดีโอจะสั้นกว่ามากเพื่อให้เหมาะสมกับการชม
ต่างจากการแช่ภาพสำหรับการตัดต่อที่จะนานกว่าเผื่อไว้สำหรับการเลือกภาพเอามาใช้งานและเพื่อประโยชน์ในการตัดต่อ
อย่าส่ายไปมาไม่มีจุดสนใจที่แน่นอน การถ่ายต่อเนื่องยาวนาน
ส่ายกล้องไปมาโดยไม่จับภาพที่จุดสนใจใดๆ
ภาพที่ได้เหมือนมองผ่านสายตาคนเมายาเลื่อนลอยไปมา ผล ผู้ชมไม่รู้ว่าต้องการสื่ออะไรให้ดูและน่าเบื่อมาก เลือกจุดสนใจแล้วถ่ายแช่ไว้สัก 5-10 วินาที การทำเช่นนี้จะทำให้คนดูเข้าใจว่าต้องการให้ดูอะไร
และสำหรับผู้ตัดต่อก็รู้ได้ว่าช็อทเริ่มและจบลงตรงไหน
อย่าถ่ายแช่นานๆ โดยไม่มีเหตุอันควร เอ๊ะเมื่อตะกี้บอกอย่าส่ายกล้องไปมา
คราวนี้มาบอกว่าไม่ให้ถ่ายแช่ จะเอายังไงกัน คือมันเป็นอย่างนี้ครับ
ลองสังเกตตัวเองดูสิว่าเราไม่มองอะไรที่เดียวนานๆ หรอก
ตามันคอยจะส่ายๆไปมองโน่นมองนี่อยู่ตลอดละครับ บางครั้งก็มองใกล้ บางครั้งก็มองไกล ผล เมื่อแช่ภาพนานๆ
โดยไม่มีเหตุผลจะทำให้คนดูเกิดความเบื่อหน่ายกับขนาดภาพที่อยู่คงที่นานเกินไป การแก้ไข ให้เปลี่ยนขนาดภาพหรือเปลี่ยนมุมมองใหม่
เช่นหลังจากถ่ายภาพเด็กทั้งกลุ่มได้ภาพเต็มตัวมีต้นไม้ข้างบนกับสนามหญ้าติดมาด้วย
(เรียกLong Shot หรือ LS) อยู่สักครู่ก็ให้หยุดแล้วเดินเข้าไปใกล้ขึ้นแล้วเลือกถ่ายเด็กที่กำลังเล่นเมามันที่สุดให้เห็นแค่ครึ่งตัว(เรียก
Medium Shot หรือ MS) หรือเปลี่ยนมุมมองด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งที่ยืนไปที่อื่นด้วยการเดินในแนววงรอบกลุ่มเด็ก
แต่ต้องไกลจากที่เดิมพอควรนะครับเพื่อป้องกันภาพกระตุกซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไป
อย่าหยุดถ่ายกลางคัน โอยไอ้นี่มันจะบ้าแล้ว ไม่ให้ถ่ายยาว
คราวนี้ยังจะไม่ให้หยุดถ่ายอีก อดทนหน่อยนะครับ ที่บอกอย่างนี้ก็เพราะว่าไม่อยากให้คุณยึดติดกับหลักการมากเกินไปโดยไม่เข้าใจเหตุผล
ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณกำลังถ่ายผู้ใหญ่กำลังให้พรซึ่งนานเกิน 10 วินาทีอย่างที่บอกไว้แน่นอน ก็ให้ถ่ายต่อให้จบคำให้พรก่อนก็ได้
ถ้าคุณหยุดถ่ายเสียก่อนแล้วเปลี่ยนมุมมองหรือขนาดภาพก็จะทำให้คำพูดขาดตอนเกิดความไม่ต่อเนื่องทางเนื้อหาแทน
มาหาอะไรถ่ายเล่นกัน-1 มาลองของกันหน่อยดีกว่า
จะได้รู้ว่าหลักการเบื้องต้นที่บอกมานี่มันใช้ยังไง
และจะเป็นการถ่ายแบบไม่ต้องตัดต่อก็ออกมาดูดีด้วย โดยเราจะไปถ่ายดอกไม้กัน
เป้าหมายคือสวนสาธารณะ หรือถ้าอยู่ในหมู่บ้านก็ดอกไม้ที่บ้านอื่นปลูกไว้นั่นละครับ
เตรียมกล้องให้พร้อมแล้วออกเดินไปเลย ระหว่างเดินก็มองหาดอกไม้สวยงามไปเรื่อยๆ
ดอกไม้นี่ดีนะครับสวยมากสวยน้อยก็ไม่เล่นตัวทั้งต้นมีสวยดอกเดียวก็ถ่ายได้แล้ว
ก็ถ่ายใกล้ๆ เห็นดอกเดียวเกือบเต็มจอเลย (Close up Shotหรือ
CS) ถ่ายแช่ไว้สัก 5 วินาที แล้วหยุด
แล้วก็ออกเดินต่อ อ้าวตรงนั้นมีอีกดอกเต็มต้นเลย คราวนี้เราจะถ่ายภาพขนาดปานกลาง(MS)
คือเห็นส่วนใหญ่ของพุ่มและดอกแต่ไม่เห็นทั้งต้น อีก 5วินาที แล้วมองหาดอกอื่นๆ ต่อไปอีก ถ้าคุณมีดอกไม้ให้เลือกมาก
ให้ถ่ายสลับไปดอกไม้สีอื่นบ้าง เช่นถ่ายดอกเหลืองแล้วก็เปลี่ยนไปถ่ายดอกแดงหรือดอกขาวบ้าง
ไม่ก็แหงนหน้าถ่ายยอดไม้สวยๆ ตัดกับท้องฟ้าบ้าง
อย่าลืมเปลี่ยนมุมมองด้วยนะครับเพราะดอกไม้ส่วนใหญ่ไม่อยู่สูงทำให้คุณต้องก้มลงไปถ่ายเกือบตลอดก็ได้แต่ภาพดอกไม้มุมต่ำที่เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ
ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนดอกเปลี่ยนสีแล้วก็เปลี่ยนมุมมองด้วยเช่นย่อเข่าลงไปให้กล้องอยู่ระดับเดียวกับดอกไม้แล้วถ่าย
รับรองว่าถ้าคุณออกไปถ่ายอะไรแบบนี้สักชั่วโมง
กลับมาก็จะได้หนังสวยงามไว้อวดเพื่อนได้สัก 5 นาทีสบายๆ
เมื่อต้องเปลี่ยนขนาดภาพถ้าเดินได้อย่าใช้ซูม ทั้งนี้เพราะเมื่อคุณซูมเข้ามุมของการรับแสงจะจำกัดลงตามขนาดภาพที่แคบลง ผล ภาพจะสั่นไหวง่ายเพราะเหมือนกับการเล็งเป้าเล็กที่ระยะไกล
และภาพจะพร่ามัวได้ง่ายเพราะกล้องต้องใช้เวลานานขึ้นเพื่อจับภาพที่มีแสงเข้ามาน้อยลง การแก้ไข ปรับกล้องเป็นซูมออกให้สุดซึ่งคุณจะได้ภาพมุมกว้าง
เมื่อต้องการภาพเต็มตัว(LS)ก็ให้ถอยห่างออกมา
เมื่อต้องการถ่ายภาพครึ่งตัว(MS)ก็เดินเข้าไปใกล้ขึ้น
ถ้าต้องการเฉพาะใบหน้า(CS)ก็เข้าไปใกล้ๆ เลย
อ้าวแล้วกล้องเค้าทำซูมมาทำไมไม่ใช้ล่ะคุณคงสงสัย ก็ใช้เถอะครับถ้าคุณไม่สามารถเดินเข้าออกได้หรือมีคน
มีพุ่มไม้ มีรั้ว หรือน้ำ ฯลฯ ขวางอยู่
อย่าใช้ซูมเปลี่ยนขนาดภาพขณะถ่ายบ่อยเกิน เพราะคนดูจะเกิดอาการมึนกับขนาดภาพที่เปลี่ยนบ่อยๆ
นั่นเอง ลองทำแบบนี้ดูนะยกนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่งเลื่อนเข้าเลื่อนออกช้าๆ
ตาก็มองตามที่ปลายนิ้วตลอด ทำแบบนี้ซ้ำๆ
ประเดี๋ยวเดียวพอเริ่มมึนก็รู้ว่าที่ผมบอกนี่มันคืออะไร
ขนาดภาพนี่นะครับถ้าเปลี่ยนแบบฉับพลันจะเป็นรูปแบบที่สมองเข้าใจได้ดีกว่าเพราะเหมือนกับการมองปกติ
แต่ในการถ่ายหนังเราสามารถใช้การซูมมาช่วยเสริมให้น่าดูขึ้นได้เหมือนกันถ้าไม่ใช้บ่อยเกินไป
เข้าทำนองเดินสายกลางไว้แหละดี
ตัวอย่างการใช้และไม่ใช้ซูมเปลี่ยนขนาดภาพ โดยธรรมชาติแล้วเมื่อคุณถ่ายวัตถุที่อยู่ใกล้ก็จะได้ภาพมุมแคบของวัตถุนั้นแต่เมื่อวัตถุอยู่ห่างออกไปก็จะได้ภาพมุมกว้างขึ้นเสมือนกับการใช้ซูม
ตัวอย่างการใช้ซูมปรับขนาดภาพเช่นซูมเข้าสุดถ่าย CS แช่ภาพแมลงไต่ตอมอยู่บนเกษรดอกไม้
ค่อยๆ ซูมออกเห็นดอกไม้ทั้งดอกหรือทั้งช่อเป็น MS แช่ภาพสักครู่แล้วหยุดเดินเทป
ต่อไปมองหาต้นไม้สูงใหญ่มีร่มเงาสวยงามซูมออกให้หมดแหงนกล้องขึ้นเดินเทปแช่ภาพที่ยอดไม้สวยตัดกับท้องฟ้า(อย่าถ่ายย้อนแสงเข้าล่ะ)อันนี้จะเป็นภาพมุมกว้าง
LS เห็นเรือนยอดเกือบทั้งหมด
แล้วเลื่อนภาพลงมาตามลำต้นด้วยความเร็วพอที่กล้องจะปรับแสงเองได้ทันลงมาจบที่ใบหน้าอันงดงามหรือหล่อเหลา(อ้าวเป็นแฟนเรานี่เอง)
ที่โคนต้น ตรงนี้ภาพจะกลายเป็น MS หรือ CS แล้วแต่ว่าแฟนเราอยู่ไกลหรือใกล้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนขนาดภาพของจุดสนใจที่ระยะต่างกันโดยไม่ต้องใช้ซูม
อย่าแพนยาว-ว-ว-ว การแพนคือส่ายกล้องจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งโดยคุณอยู่กับที่
เช่นจากซ้ายไปขวา หรือขวามาซ้ายสมมุติเรื่องมันเกิดขึ้นตรงชายหาด
แล้วคุณเริ่มเดินเทปจากปลายชายหาดด้านซ้ายแล้วคุณก็บรรจงแพนช้าๆ ออกไปที่ทะเล
ยาวไปเรื่อยๆ เอื่อยๆ
หวังให้ผู้ชมได้ซึมซับกับกลิ่นไอทะเลสายลมและแสงแดดเหมือนที่มันกำลังกระแทกคุณอยู่
จนในที่สุดก็มาบรรจบเจอชายหาดทางขวามือ
อันที่จริงคุณอยากแพนต่ออีกแต่เอวมันบิดไม่ไปแล้วเลยต้องหยุด
เมื่อนำกลับมาดูก็พบว่าพอภาพชายหาดทางด้านซ้ายที่ไม่มีจุดสนใจอะไรเลยวิ่งลับออกไปทางซ้ายของจอแล้วก็จะเป็นภาพทะเลกับขอบฟ้าที่ดูให้ซึ้งยังไงๆ
ก็ฟ้ากับทะเลเหมือนๆ กัน เลื่อนเข้ามาแล้วออกไปเหมือนเดิม
จนไปจบที่ชายหาดที่วิ่งเข้ามาทางขวาแล้วก็ไม่มีจุดสนใจเช่นกัน
แค่ฟังก็เบื่อแล้วครับสงสารคนดูเถอะ ดังนั้นถ้าภูมิทัศน์ไม่มีความหลากหลายน่าดูจริงๆ
แล้ว อย่าทำเลยครับการแพนยาวๆ เนี่ย
ถ้าจะแพนลองทำอย่างนี้ ให้กำหนดช่วงแพนก่อนถ่ายเข้าทำนองคิดก่อนทำ
อย่ายกกล้องเล็งปุ๊ปแพนปั๊บ เดาตอนจบได้เลยเวลาคุณถูกคนดูพิพากษาหน้าจอ
ให้ทำอย่างนี้ครับคือทดลองแพนโดยไม่ต้องเดินเทป ทำอย่างนี้จะช่วยให้คุณรู้มือว่าจังหวะเป็นอย่างไร
แพนสั้นๆ พองาม
การลดความโลภมาถ่ายทีละน้อยแต่ได้ภาพที่น่าดูได้ผลดีกว่าการโกยเก็บภาพโดยไม่เลือกแน่นอน
ก่อนแพนให้มองหาจุดจบที่น่าสนใจ การแพนสั้นๆ พองามสามารถทำได้ และให้ผลดี
แต่ให้หาจุดจบที่น่าสนใจรอไว้ เพราะเปรียบการแพนคือการนำสายตาผู้ชมไปยังสิ่งที่น่าสนใจ
ถ้าคุณดันไปทำกลับกันคือเริ่มจากสิ่งที่น่าสนใจไปจบยังสิ่งที่ไม่น่าสนใจแล้วคุณนำเขาไปดูอะไรล่ะจริงไหมครับ
คุณอาจจะเริ่มจากจุดที่น่าสนใจน้อยกว่า แช่ภาพไว้สัก 2 วินาที
แล้วเริ่มแพนออกไปทางวัตถุที่กำหนดไว้เป็นจุดจบ การแพนต้องไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าเกินไป
อันนี้ต้องทดลองดูเอง เมื่อไปถึงจุดที่กำหนดไว้เป็นที่จบก็ให้แช่ภาพไว้อีกสัก 2
วินาทีแล้วจึงหยุดเดินเทป
ถ้าถ่ายมาเผื่อตัดต่อให้แช่ภาพตอนต้นและจบเป็น 5 วินาทีไปเลยครับ
แพนทางเดียวในหนึ่งช็อท อย่าแพนไปแล้วแพนกลับ
เช่นหลังจากแช่ภาพเมื่อเริ่มช็อทคุณแพนไปทางขวาเมื่อถึงจุดที่ตั้งใจไว้ให้จบก็แช่ภาพแล้วหยุดเดินเทป
อย่าแพนย้อนกลับไปทางซ้ายอีกทั้งนี้เพราะผู้ชมเพิ่งเห็นภาพที่คุณแพนผ่านมา
การแพนกลับไปทางเดิมไม่ได้ทำให้ผู้ชมเห็นอะไรเพิ่มขึ้นนอกจากทำให้เบื่อ
อย่าเดินเทปหรือหยุดเทประหว่างแพน ถ้าคุณไม่แช่ภาพนิ่งก่อนการแพนและเมื่อหยุด
จะทำให้สะดุดทางความต่อเนื่อง
เห็นได้ชัดอย่างยิ่งเมื่อคุณหยุดเดินเทประหว่างการแพน คุณจะทำให้คนดูหลงภาพ
เพราะปกติเมื่อคนเราจะส่ายตาไปทางใดก็เพื่อจะไปจับจ้องที่อะไรสักอย่าง
แต่เมื่อคุณหยุดเดินเทปเสียก่อนขณะภาพกำลังเคลื่อนระหว่างการแพน
คนดูก็จะเกิดอาการมองเก้อไม่พบกับสิ่งสนใจสักอย่าง
เคยถ่ายข้างทางจากรถที่วิ่งอยู่ไหมครับ บางทีนะเราไปเจอทิวทัศน์ที่บริเวณข้างทางสวยไปหมด
เลยอยากถ่ายเก็บไปฝากคนทางบ้าน
แต่พอกลับมาดูแล้วเห็นแต่หญ้าวิ่งผ่านเร็วปรื๋อดูแล้วเวียนหัวไปหมด
เหตุผลคือภาพหญ้าข้างทางกินเนื้อที่ส่วนใหญ่ของภาพเลยกลายเป็นจุดสนใจและดึงสายตาผู้ชมแต่ภาพของวัตถุที่อยู่ใกล้เคลื่อนที่เร็วมากจนสายตาจับไม่ทัน
วิธีแก้ง่ายมากคือกระดกกล้องให้สูงขึ้นอีกเช่นไปเล็งที่ขอบฟ้าแทนเพื่อให้ส่วนของหญ้าที่วิ่งผ่านหน้ากล้องกินเนื้อที่ส่วนน้อยของภาพ
ก็จะช่วยลดความเครียดของสายตาผู้ชมได้
ทำอย่างไรไม่ให้กล้องสั่น ตั้งใจเลยว่าจะไม่บอกก่อนชวนไปลองถ่ายดอกไม้เพื่อที่ว่าบางคนอาจจะสังเกตเห็นว่าภาพสั่น การแก้ไข ใช้เทคนิคของการยิงปืนซิครับ
คือให้หายใจเข้าแล้วกลั้นไว้เมื่อเดินเทปก็หายใจออกช้าๆ ระหว่างนั้นก็นับ
หนึ่งพันหนึ่ง หนึ่งพันสอง หนึ่งพันสาม ไปเรื่อยๆ จนหยุดถ่าย
ผลดีคือมือจะนิ่งและคุณกำหนดไทม์มิ่งของการถ่ายไปด้วยในตัว
ไม่ต้องง้อนาฬิกาจับเวลา อีกอย่างคือใช้สองมือช่วยประคอง เช่นมือซ้ายจับข้อมือขวา
หรือมือซ้ายเหยียดปลายนิ้วทั้งสี่แตะประคองด้านซ้ายของกล้องส่วนนิ้วหัวแม่มือซ้ายกางออกมายันข้อมือขวา
มองผ่านวิวฟายเดอร์ให้เป็นนิสัย บางท่านอาจงงว่าส่วนไหนคือวิวฟายเดอร์
กล้องวีดีโอสมัยนี้จะมีจอแอลซีดีพับได้อยู่ทางซ้ายของกล้อง
ส่วนวิวฟายเดอร์คือช่องมองภาพเล็กๆ ที่อยู่ด้านบนทางท้ายของกล้อง
โดยพื้นฐานแล้ววิวฟายเดอร์เป็นจอแอลซีดีเหมือนกัน
แต่มีขนาดเล็กและกินไฟน้อยกว่าเมื่อเทียบกับจอแอลซีดีขนาดใหญ่ด้านข้างกล้อง
ดังนั้นเหตุผลข้อแรกเมื่อใช้วิวฟายเดอร์แล้วพับจอแอลซีดีเก็บไว้คือคุณจะใช้ไฟจากแบตเตอรี่ได้นานกว่าเกือบ
20เปอร์เซนต์
เหตุผลอีกข้อคือเมื่อถ่ายหนังอยู่นั้นเราจะต้องมองหาจุดสนใจอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
การใช้วิวฟายเดอร์นั้นผมจะไม่เอาตาขวาไปแนบกับช่องมองแต่จะเอาออกห่างจากตาประมาณ 1
นิ้ว (ลองหงายกล้องขึ้นจะเห็นคันโยกปรับระยะโฟกัสอยู่ใต้วิวฟายเดอร์)
และไม่ปิดตาซ้ายจึงสามารถมองตรงไปที่เหตุการณ์ข้างหน้าและรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวรอบๆ
ในขณะที่ตาขวาจะมองผ่านวิวฟายเดอร์เห็นเป็นภาพซ้อนกันเพื่อเช็คว่าวัตถุที่ถ่ายอยู่ในกรอบภาพหรือไม่
เหล่านี้จะไม่สามารถทำได้ถ้าใช้จอแอลซีดีด้านข้างเพราะเมื่อกางออกมามันจะบังทุกสิ่งข้างหน้าและต้องมองดัวยสองตาเต็มๆ
ดังนั้นจึงลดขอบเขตของการมองสภาพแวดล้อมไปโดยปริยาย
มองหาเรื่อง เปล่าไม่ได้จะทะเลาะกับใครหรอก
การถ่ายหนังให้สนุกคุณต้องมองหาจุดสนใจ ยกตัวอย่างเช่นคุณถ่ายเพื่อนๆ
กำลังคุยกันสนุกสนาน ถ้าถ่ายแบบขี้เกียจหลังยาวแล้วหวังจะได้หนังดีก็เอาขาตั้งกล้องมาตั้งแล้วเก็บภาพมุมกว้างเห็นทีเดียวหมดแปดคนไปเลย
หนังคงออกมาดี-ไปดีอย่างหวัง
แต่ถ้าถ่ายแบบลงทุนลงแรงแล้วคุณต้องเปลี่ยนภาพไปยังคนที่กำลังเป็นจุดสนใจในกลุ่ม
การจะทำเช่นนี้ได้คุณต้องรับรู้สภาพแวดล้อมว่ากำลังเกิดอะไร ถ้าคุณเป็นคนฟังคุณก็ต้องมองคนพูด
ดังนั้นให้เดินเทปจับภาพคนที่กำลังพูดยาว
นานนักก็เปลี่ยนไปที่ผู้ฟังที่กำลังอยู่ในอิริยาบทต่างๆ กัน สลับไปมา
เปลี่ยนมุมไปถ่ายจากจุดอื่นเป็นระยะๆ
เปลี่ยนขนาดภาพด้วยการซูมเข้าออกถ้าห้องมันเล็กจนใช้วิธีเดินเข้าออกไม่ได้
การมองภาพผ่านวิวฟายเดอร์ตามที่แนะนำมาก่อนจะทำให้คุณเห็นเหตุการณ์ได้กว้างขึ้น
และเลือกจุดสนใจใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น
อ้าวนั่นคนฟังหัวเราะจนตัวงอแล้วต้องเก็บภาพไว้สักหน่อย
อย่าวางกล้องตากแอร์ บางคนรักกล้องวีดีโอราคาแสนแพงโดยวางเอาไว้ในห้องแอร์
การทำอย่างนี้นอกจากไม่ช่วยแล้วยังทำร้ายกล้องแสนรักของคุณด้วยซ้ำ
ทั้งนี้เพราะพอกล้องของคุณเย็นฉ่ำได้ที่แล้วคุณปิดแอร์ช่วงที่กล้องเริ่มสัมผัสกับอากาศที่อุ่นขึ้นจะเกิดไอน้ำควบแน่นเป็นฝ้าบางๆที่ทุกชิ้นส่วนในกล้อง
เป็นเช่นนี้ทุกวันทุกคืนที่คุณวางมันไว้ ซึ่งไม่ส่งผลดีเลยในระยะยาว ไม่เชื่อก็ลองสังเกตเวลาเอากล้องลงจากรถที่เปิดแอร์เย็นๆ
มาถ่ายสิครับ เลนส์นี่เป็นฝ้าไปพักใหญ่เลย
แค่เอากล้องใส่กระเป๋าที่เขาแถมมาให้แล้วใส่ในตู้ในห้องที่ไม่โดนแดดจังๆ
เท่านี้ก็เป็นการรักษากล้องแล้วครับ
ถ่ายต่อให้หมดม้วน เมื่อถ่ายหนังยังไม่หมดม้วน
อย่ากรอเทปกลับไปเริ่มต้นใหม่ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ต้องการส่วนที่อยู่ต้นเทปก็ตามยกเว้นว่าเทปเหลือน้อยมากจนแน่ใจว่าไม่พอถ่ายครั้งต่อไป
ทั้งนี้เพื่อให้เนื้อเทปมีการสึกหรอสม่ำเสมอเท่าๆ กันทั้งม้วน
จากประสบการณ์ในการแปลงวีดีโอของผม
ผมเสียดายหนังที่ถ่ายไว้ดีแต่ภาพแย่ตอนต้นม้วนแล้วไปได้ภาพดีๆ
เอาเกือบครึ่งม้วนไปแล้วเพราะนิสัยการกรอเทปแบบนี้
เว้นวรรค อันนี้หมายถึงเมื่อคุณเริ่มถ่ายที่ต้นเทปให้คุณเอาฝาปิดหน้ากล้องไว้แล้วเดินเทปทิ้งไว้สัก
10 วินาที ทั้งนี้เผื่อว่าคุณนำเทปไปตัดต่อ
จะได้มีระยะเผื่อตอนต้นเทปสำหรับโปรแกรมจับภาพจะได้ทำงานได้ทัน อย่าใช้วิธีกรอเทปเดินหน้าแทนนะครับ
เพราะการกรอจะไม่มีไทม์โค๊ดถูกบันทึกในเทปส่วนที่ถูกกรอข้ามไป
ซึ่งไม่เหมือนการถ่ายแบบปิดหน้ากล้องที่ได้ภาพดำแต่มีไทม์โค๊ดบันทึก
นอกจากนี้ถ้าคุณจบการถ่ายต่อเนื่องแต่ละที่ให้แช่ภาพไว้ไว้สัก 5 วินาที ส่วนนี้เป็นระยะเผื่อเมื่อคุณกรอเทปกลับไปดูภาพที่ถ่ายไว้แล้วกลับมาถ่ายต่อจะได้มีหางเทปที่คุณสามารถถ่ายทับได้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของไทม์โค๊ด
ถ้าคุณไม่เผื่อรระยะนี้ไว้คุณจะต้องกรอเทปถอยไปเริ่มถ่ายทับภาพของช็อทสุดท้ายหน่อยนึงจึงจะเกิดความต่อเนื่องของไทม์โค๊ด
นั่นทำให้ช็อทสุดท้ายของคุณสั้นลงหรืออาจจะกินส่วนที่แช่ภาพไว้หายไปหมดเลยก็ได้
พูดหลังกล้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างหนังใบ้
เมื่อคุณเริ่มถ่ายตามสถานที่ต่างๆ หรือเหตุการณ์ต่างๆ
ให้พูดบรรยายเข้าไปหลังกล้องตอนที่เริ่มเดินเทปแช่ภาพ
เสียงบรรยายหลังกล้องนี้จะให้ข้อมูลแก่ผู้ชม จึงไม่ต้องเดาเอาเองว่าที่ไหนหรือเรื่องอะไร
และขอยืนยันว่าทำให้หนังดูสนุกขึ้นจริงๆ แต่ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ
คืออย่าพูดมากเกินไป เอาให้พองามดูแล้วสนุกก็พอนะครับ
อีกอย่างคืออย่าลืมเช็คระดับเสียงด้วยว่าที่คุณพูดเข้าไปหลังกล้องนั้นเสียงชัดเจนดีหรือไม่
หาไม่แล้วเสียงที่บรรจงพูดจะกลายเป็นเสียงอู้อี้น่ารำคาญฟังไม่รู้เรื่องไปเสีย
ถ่ายป้ายชื่อ นี่ก็เป็นวิธีคลาสสิกที่ทำให้หนังดูมีระดับขึ้น
คือถ้ามีก็เริ่มช็อทเปิดด้วยการถ่ายป้ายชื่อถนนหรือชื่อสถานที่หรือวัตถุที่เป็นที่รู้จักกันดี
ยกตัวอย่างถ้าคุณถ่ายภูเขาทอง หรือด้านหน้าวัดพระแก้วคนส่วนใหญ่ก็จะรู้ว่าคือที่ไหน
หรือจะถ่ายลูกซ้อมดนตรีที่โรงเรียนก็ถ่ายป้ายโรงเรียน "โรงเรียนลูกรัก" ถ่ายป้ายหน้าห้อง "ห้องขิม" ก่อนเข้าไปถ่ายลูก
ภาพทำนองนี้ช่วยเล่าเรื่องให้คนดูได้ดี แต่ก็ต้องอาศัยการวางแผนด้วยเช่นกัน
อย่าเริ่มด้วยการตะลุยถ่ายแต่คนอย่างเดียว
เดินถ่ายตามหลัง ชื่อก็บอกอยู่แล้ว
คือเราจะถ่ายข้างหลังคนที่กำลังเดินไปไหนสักแห่ง
ก็ให้เดินตามไปแล้วก็ถ่ายตามหลังไปด้วย
จะได้ภาพที่มีการเคลื่อนไหวและเล่าเรื่องได้ดี
แต่อย่าให้ยาวเกินจะออกไปทางน่าเบื่อแทน
ทางที่ดีให้ตกลงกับนางแบบหรือนายแบบเสียก่อน โดยเริ่มถ่ายก่อนถึงสถานที่สักหน่อย
ออกเดินแล้วถ่ายตามหลังไปสักเดี๋ยว
พอถึงเราก็เลื่อนกล้องออกไปจับภาพสถานที่หรือวัตถุนั้น
คนดูไม่รู้หรอกว่าเตี๊ยมกันมา
ถ่ายข้ามหัว เปล่านะผมไม่ได้ให้คุณทำอะไรเลอะเทอะข้ามหัวชาวบ้านหรอก
แต่เพราะบางครั้งเราต้องพบสถานการณ์ที่มีผู้คนบังกล้องอยู่ทำให้ไม่สามารถเล็งกล้องในระดับสายตาไปที่วัตถุที่จะถ่ายได้
เช่นคุณอยากถ่ายเอฟ 16 ในงานวันเด็ก
หรือลูกของคุณที่กำลังเต้นอยู่ในสนาม แต่ที่ยืนริงไซด์ถูกจับจองไว้แน่นเหมือนกำแพง
แบบนี้เล่นไม่ยากหรอกครับ ให้กางจอแอลซีดีออกมาแล้วบิดเข้าหาตัวคว่ำลงเล็กน้อย คราวนี้ชูกล้องขึ้นเหนือหัวแล้วเงยหน้าขึ้นมองจอแทน
ถ้าจะต้องซูมหาเป้าหมายจะทำได้ยากกว่าการถือกล้องในท่าปกตินิดหน่อย
แต่ให้ทำอย่างนี้นะครับ คือซูมออกให้หมดจนเห็นภาพมุมกว้างก่อน
พอเห็นเป้าหมายแล้วค่อยๆ ซูมเข้าไปจนได้ขนาดภาพที่พอใจ
การถ่ายแบบนี้ต้องทนเมื่อยแขนและคอหน่อยนะครับ
วิธีแก้เมื่อยก็ให้แฟนบีบนวดให้ไม่ต้องเสียตัง
การวางตำแหน่งภาพ เมื่อต้องถ่ายใบหน้าคน ให้คุณลืมๆ
รูปถ่ายของตัวเองในชุดนักเรียนไปเลย กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องถ่ายหน้าตรง
และอยู่กลางภาพหรอกครับ ลองเปลี่ยนตำแหน่งเฉียงมาทางแก้มของวัตถุแล้วถ่าย MS
หรือ CS ก็ได้
โดยเว้นช่องว่างระหว่างกรอบภาพกับจมูกจะทำให้การจัดวางภาพดูดีขึ้น
นอกจากนี้ระวังมุมกล้องอย่าให้มีเสาไฟไปอยู่ข้างหลังคน
เพราะเมื่อถ่ายออกมาแล้วจะดูตลกมากเหมือนมีเขางอกออกมาจากหัว เล็กๆ น้อยๆ
เหล่านี้ต้องละเอียดรอบคอบ กฏ RULE OF THIRDS บอกไว้ว่าให้สมมุติเส้นแนวนอนสองเส้นแบ่งภาพออกเป็น
3 ส่วนเท่าๆ กัน และแนวตั้งสองเส้นแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน
เปลี่ยนมุมมองต้องห่างจากเดิมพอควร อย่างที่บอกไว้ว่าให้เปลี่ยนมุมมองบ่อยๆ
เพื่อให้ภาพออกมาดูไม่น่าเบื่อ
แต่การเปลี่ยนตำแหน่งยืนของเรานี้ก็มีหลักการอันหนึ่งคือให้เกิน 30องศาเป็นอย่างต่ำ สมมุติว่าคุณถ่ายภาพตรงหน้าของวัตถุในช็อทแรก
เมื่อต้องเปลี่ยนมุมก็ให้เดินไปในแนววงกลมรอบวัตถุโดยให้ทำมุมกับแนวเดิมไม่ต่ำกว่า
30 องศา ทำไมหรือครับ
ก็เพราะว่าความจำของคนเราเนี่ยจะจำภาพเดิมได้ดังนั้นถ้าคุณถ่ายช็อทต่อไปแล้วมุมของภาพไม่ต่างจากเดิมมากและขนาดภาพก็ไม่เปลี่ยน
ภาพในช็อทถัดมาจะทำให้คนดูรู้สึกว่าเกิดอาการกระตุกหรือกระโดด
เพราะสมองเอาไปเปรียบเทียบกับภาพสุดท้ายในช็อทที่แล้ว การแก้ไข อย่างที่บอกไว้ว่าเปลี่ยนไปจุดใหม่ให้ห่างกว่าเดิม
หรือไม่ก็เปลี่ยนขนาดภาพไปเลย เช่นถ้าเดิมเป็น MS ก็เปลี่ยนเป็น
CS แทน
ถ่ายของใหญ่ เช่นช้าง
ถ้าไม่บอกกันก่อนคุณอาจถ่ายมุมกว้างเพื่อเก็บภาพช้างทั้งตัวตลอดเวลา
ซึ่งจะออกมาน่าเบื่อนะครับ ลองแบบนี้ดูคือถ่าย CS ตา, MS งวง, MS ขา, CS เท้า,
MS หูกระดิก, MSบั้นท้าย, LS ด้านหน้าเต็มตัว จะเห็นว่าเรามาเฉลยตอนหลังว่านี่คือช้าง
อันนี้เป็นเรื่องแปลกเพราะเมื่อถ่ายของใหญ่ๆ เช่นภูเขา โบราณสถาน บ้าน หรือเล็กๆ
หน่อยอย่างช้าง อะไรทำนองนี้ ไม่จำเป็นต้องถ่ายมุมกว้างเพื่อจะเก็บภาพของวัตถุดังกล่าวตลอดเวลา
คุณอาจเก็บภาพมุมกว้างไว้บ้างเพื่อให้เห็นภาพรวม แต่ส่วนใหญ่แล้วให้ถ่าย MS/CS ของรายละเอียด เช่น ยอดภูเขา ไหล่เขา ที่ราบเชิงเขา หรือ รูปแกะสลัก
ทับหลัง การเรียงอิฐ ยอดปราสาท กาฝากเกาะหิน หรือ บันไดบ้าน จั่วหลังคา กาแล
กระถางต้นไม้ (ดูบ้านที่มันสวยๆ น่าถ่ายหน่อย) เหล่านี้คงพอไปทดลองต่อได้นะครับ
ยังไงๆ คุณก็เอาภูเขาทั้งลูกไปใส่ไว้ในจอทีวีไม่ได้อยู่แล้ว ค่อยๆ
แบ่งส่วนถ่ายดีกว่าน่าสนใจกว่าเยอะ
เรื่องของเสียง เมื่อต้องถ่ายคนพูดในที่ที่มีเสียงอื่นดังอยู่รอบๆ
หากคุณไม่มีไมโครโฟนแบบฃูมหรือแบบลากสายแล้วเป็นไปได้มากทีเดียวว่าเสียงคนพูดจะถูกเสียงอื่นกลบจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง
ในสถานการณ์แบบนี้คุณต้องเคลื่อนกล้องเข้าไปใกล้ผู้พูดให้มากที่สุด
เพื่อที่ระดับเสียงของผู้พูดที่เข้ามาที่ไมค์ฯ จะดังกว่าเสียงรบกวนได้มากกว่า
แบลงค์เซิช หรือเอนด์เซิช ระบบค้นหาจุดสุดท้ายบนเทปที่ทำการบันทึก
หลังจากกรอเทปกลับไปดูสิ่งที่ถ่ายไว้แล้วต้องการถ่ายต่อจากจุดสุดท้ายที่หยุด
กล้องสามารถหาตำแหน่งนี้ให้เราได้โดยการเลือกโหมดเพลย์แบ็คแล้วกดปุ่มเอนด์เซิช
หรือแบลงค์เซิช
เพื่อหารอยต่อระหว่างส่วนที่มีภาพกับส่วนที่ไม่มีภาพให้เราโดยอัตโนมัติ
ดังนั้นมันจึงใช้ได้กับเทปใหม่เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับเทปที่เคยบันทึกมาแล้ว
ขยันถ่าย รักจะเป็นตากล้องต้องขยันถ่าย
เช่นถ้าคุณไปถ่ายตามงานก็ให้ถ่ายสถานที่ ดอกไม้ การตกแต่ง โคมไฟ
หรือสิ่งสวยงามต่างๆ ไว้ด้วย การได้ภาพของสิ่งเหล่านี้สลับกับภาพคน
จะเป็นการเบรคให้คนดูได้ผ่อนคลายสายตา ไม่ใช่ตะลุยถ่ายแต่คนอย่างเดียว
การเป็นตากล้องที่ดีจะต้องรู้จักมองหาวัตถุดิบที่มาประกอบเป็นหนังและต้องใส่ไอเดียลงไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น จะถ่ายผู้ใหญ่กล่าวเปิดงาน ก็ให้ไปถึงงานเสียแต่เนิ่นๆ
ถ่ายบรรยากาศการเตรียมงาน ถ่ายดอกไม้ที่ประดับโพเดียมหรือแท่นยืนพูดนั่นแหละครับ (MS/CS) ถ่าย Speech หรือกระดาษที่เขาเตรียมคำพูดกล่าวเปิด(CS)ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาจะพิมพ์ไว้สวยงามมากทีเดียว
เมื่อผู้ชมเห็นวัตถุดิบเหล่านี้ก็จะรู้เลยว่ากำลังจะมีการกล่าวเปิด
ลองเปรียบเทียบดูนะครับว่าถ้าปราศจากวัตถุดิบเหล่านี้(ของฟรีทั้งน้าน) ก็จะกลายเป็นว่าพอเริ่มฉายปุ๊บก็เห็นหน้าท่านประธานพูดปั๊บ
ซึ่งดูแล้วไม่ได้อารมณ์ร่วมเลย
โดยสรุปแล้วมันก็เหมือนการหาเครื่องประดับมาตกแต่งหนังของเราให้มีจังหวะและมีลีลานั่นเอง
เอาเทปเก่ามาถ่ายใหม่ ถึงกล้องจะไม่สามารถค้นหาจุดสุดท้ายที่บันทึกบนเทปเก่าให้เรา
ก็ยังหาตัวช่วยได้ ทำอย่างนี้ครับคือกรอเทปกลับมาจนสุด
เปลี่ยนเป็นโหมดถ่ายโดยเอาฝาปิดเลนส์ครอบไว้ แล้วเดินเทป(ถ่ายมืดๆ
นั่นแหละ)ไปจนหมดม้วน คุณจะได้ภาพสีดำบันทึกไว้ตลอดม้วนแทน
ทีนี้คุณก็สามารถกรอเทปหารอยต่อระหว่างช็อทสุดท้ายกับส่วนที่ภาพดำมืดเพื่อเริ่มถ่ายต่อได้ไม่ยาก
อย่าลืมกรอเทปให้ล้ำเข้าไปในส่วนหางของช็อทสุดท้ายนิดหนึ่งด้วยล่ะเดี๋ยวไทม์โค๊ดจะมั่วระหว่างของเก่ากับของใหม่
การใส่เทป แหมเรื่องง่ายๆ อย่างนี้ต้องบอกด้วยเหรอ
ครับเผื่อบางท่านไม่รู้จริงๆ จะได้ไม่ทำกล้องพัง
กลไกของกล้องสมัยนี้ค่อนข้างบอบบางเพราะออกแบบมาให้เล็กและเบา
ดังนั้นถ้าทำไม่ถูกวิธีแล้วก็พังได้เหมือนกัน เคยเห็นมาแล้วนะครับไม่ได้ขู่เล่นๆ
เมื่อคุณเลื่อนสลักเปิดฝากล้องเพื่อเอาเทปออกหรือเพื่อใส่เทป ของโซนี่จะเป็นสองจังหวะนะครับคือง้างออกมาแล้วต้องดันให้สุดจังหวะสองจึงจะกระตุ้นให้กลไกส่งเทปเดินต่อ
ผมเคยเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ซื้อกล้องราคากว่าหกหมื่นบอกคนขายว่าซื้อไปเป็นเดือนแล้วยังใส่เทปไม่ได้
ก็เพราะไม่ง้างฝาจนถึงแก๊กที่สองนี่ละครับ ลองสังเกตดูนะครับว่าเมื่อซองบรรจุเทปที่เป็นโลหะเลื่อนขึ้นมาส่งเทปแล้วมีฝาดีดออกมาให้เราหยิบเทปออกหรือใส่เข้าไปใหม่
ที่ฝานี้จะมีตัวหนังสือพิมพ์ไว้ว่า PUSH HERE เมื่อจะปิดฝาให้ใช้นิ้วดันฝาตรงตำแหน่งตัวอักษรนี้
อย่าบีบฝาทั้งสองด้านเข้าหากันนะครับ ให้ดันฝาข้างที่ดีดออกมากลับไปหาซอง
เมื่อเข้าที่แล้วและซองลดตัวกลับเข้าไปในกล้องดูให้แน่จนจบกระบวนการอย่าใจร้อนแล้วจึงงับฝาด้านนอกปิด
มีตลับล้างหัวเทปติดไว้ในกระเป๋ากล้อง ตลับล้างหัวเทปราคาร่วมพันแต่ไม่มีไม่ได้
ให้เลือกซื้อแบบแห้งโดยเนื้อเทปจะดูเหมือนกับเทปที่ใช้ถ่ายจริงๆ
ไม่ใช่ผ้าหรือแบบที่ต้องหยอดน้ำยา
เพราะเมื่อกล้องแจ้งเตือนว่าหัวเทปสกปรกแล้วต่อจากนั้นภาพจะแย่ลงทันตาเห็น
และถ้าคุณไม่มีเทปล้างหัวติดไว้ระหว่างการเดินทาง คุณก็จะหมดโอกาสเก็บภาพสวยงามไว้เชยชม
การล้างหัวเทปก็ทำได้โดยใส่ตลับเทปที่ว่านี้เข้าไปเหมือนกับที่เราใส่เทปปกติ
ปรับกล้องไปอยู่โหมดเพลย์แบ็ค แล้วกดเพลย์ ในใจก็เริ่มนับ หนึ่งพันหนึ่ง
หนึ่งพันสอง (นับต่อเองนะครับ) พอถึงหนึ่งพันสิบ ก็ประมาณ 10 วินาที ให้กดหยุด แล้วนำตลับล้างหัวเทปออกมา
ถ้ายังใช้ไม่หมดม้วนอย่ากรอเทปในตลับล้างกลับ
เมื่อหมดแล้วกรอกลับใหม่จะใช้ได้อีกหนึ่งรอบ โดยรวมแล้วใช้ล้างได้ประมาณร้อยครั้ง
ตกครั้งละ 7-10 บาท เรื่องนี้ประหยัดไม่ได้ครับ ต้องล้าง
มีกล้องต้องใช้ให้คุ้ม เพราะเวลาไม่ถอยกลับให้เราไปถ่ายใหม่
ภาพของคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นลูก พ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อน
เมื่อต้องอยู่ไกลห่าง ภาพเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจให้คลายความคิดถึงที่มีต่อกัน
ถึงจะทดแทนไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็ช่วยบรรเทาใจ และเมื่อวันหนึ่งที่ใครบางคนจากไป
คุณจะพบว่าภาพของเขาที่บันทึกไว้นั้นทรงคุณค่าไม่อาจตีเป็นราคาค่างวดได้
ดังนั้นจงคว้ากล้องขึ้นมาแล้วบันทึกทุกนาทีประทับใจเก็บไว้เสียแต่วันนี้
การเขียนบทภาพยนตร์สั้น
การเขียนบทภาพยนตร์สั้น
1. ประวัติบทภาพยนตร์
2. กระบวนการคิดโครงเรื่อง
3. หลักการเขียนบทเบื้องต้น
4. ตัวอย่างบทภาพยนตร์สั้น
1. ประวัติบทภาพยนตร์
ความเป็นมาของการเขียนบทภาพยนตร์
การเขียนบทภาพยนตร์เริ่มจากตากล้องควบตำแหน่งคนเขียนบทเพราะการถ่ายทำภาพยนตร์โดยตากล้องเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เริ่มต้น การเขียนบทภาพยนตร์พัฒนาสู้การเขียนบทสนทนา(บทพูด)โดยนักแสดงตลก(บทพูดสามารถแฝงด้วยมุขตลก)การเขียนบทภาพยนตร์ได้รับความสำคัญในการเป็นสื่อเฉพาะที่จำเป็นต่อการผลิตภาพยนตร์
ทำให้บทบาทของผู้เขียนบทภาพยนตร์มีความสำคัญตามมาที่มาของการเขียนบทภาพยนตร์ในอเมริกา
1910-บทภาพยนตร์ถูกกำหนดแบบคร่าวๆ
แต่งเติมตัดทอน ระหว่างถ่ายภาพยนตร์ได้ตามเหมาะสม
1920-บทภาพยนตร์ได้รับความสำคัญ
ทำให้มีตำแหน่งคนเขียนบทภาพยนตร์(script writer)ที่ต้งอทำงานเชิงสรางสรรค์
1940-นักเขียนบทเกิดขึ้มมากเพราะสภาพ
ww2 ทำให้นักเขียนต่างๆ หารายได้เพิ่มจากการเขียนบทภาพยนตร์
1950-ยุคโรงถ่ายเสื่อม
คนเขียนบทหมดสัญญา กับบริษัทโรงถ่ายสภาพสังคมทำให้นักเขียนบทต้องใช้นานแฝงในการเขียนบทภาพยนตร์
1970-คนรุ่นใหม่ก้าวสู่การเขียนบท
มีนักเขียนบทฝีมือดีเกิดขึ้นหลายคน
1980-ถึงปัจจุบัน-คนเขียนบท
และผู้แก้ไขบทภาพยนตร์เป็นตำแหน่งสำคัญในการผลิตภาพยนตร์มาก
นี้คือประวัติคร่าวๆ
ของการเขียนบทภาพยนตร์
2. กระบวนการการคิดโครงเรื่อง
กระบวนการคิดให้เป็นเรื่อง
การคิดเรื่องมันไม่ยากหรอกครับ
ก่อนอื่นอยากให้เริ่มต้นด้วยการเขียนโครงเรื่องสักหนึ่งหน้ากระดาษก่อน
เล่าว่าในหนังสั้นที่เรากำลังจะทำนี้ มีเหตุการณ์อะไรบ้าง ใคร ทำอะไร ที่ไหน
อย่างไร เมื่อไหร่ แบ่งเป็นฉากๆ ก็ได้ครับ ฉากที่ 1 ไปจนกระทั่งกี่ฉากก็ว่าไป
แต่ล่ะฉากก็ให้มีการเดินเรื่องไปข้างหน้าตลอดไม่ย่ำตัวเองอยู่กับที่
แต่ก่อนที่จะเริ่มคิดและเขียนเรื่องขึ้นมา
ก็อยากจะให้ทุกคนทราบถึงหลักของการเล่าเรื่องเสียก่อน
หลักง่ายๆ
ของการเริ่มต้นอยากจะเล่าเรื่องอะไรสักอย่างให้แก่คนทั่วๆ ไปได้รับรู้กันนั้น
จริงๆ แล้วไม่ว่าหนัง,ละคร,นิทาน
หรือนวนิยาย ต้นกำเนิดของเรื่องเล่ารูปแบบต่างๆ เหล่านี้มีไม่มากนัก
1.เล่าเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
เช่น นาย ก.เดินทางไปในป่าเพื่อล่าสัตว์
และพบสิงโตตัวหนึ่งกำลังไล่ล่ากวาง ในระหว่างที่นาย ก. กำลังมองดูเหตุการณ์นี้
จู่ๆ สิงโตก็หันไปเห็นนาย ก.และวิ่งไล่ใส่นาย ก.แทน ฝ่ายนาย ก. เมื่อเห็นดังนั้นก็เลยรีบวิ่งโกยไม่คิดชีวิต
เมื่อเขารอดมาได้ ไม่ว่าเจอหน้าใครเขาก็อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องนี้ให้แก่คนผู้นั้นฟัง
เรื่องเล่าประเภทนี้
ผู้เล่ามักจะมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องที่ตนเองเล่าไปด้วยเป็นอย่างมาก พูดง่ายๆ
ก็คือมี “ประสบการณ์ร่วม” หรือใกล้ชิดกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นๆ
อย่างแท้จริง
2.เล่าเพราะเห็นเจอมา
แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัว เช่น นาย ข. ขึ้นรถเมล์ที่เบียดเสียด
แล้วได้ไปเจอผู้ชายลุกให้เด็กนั่ง
มันเป็นเหตุการณ์อันน่าประทับใจจนเขาต้องเล่าให้เพื่อนของเขาฟัง
เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่กระทบความรู้สึกของคนเล่ามากเท่ากับเรื่องแบบแรก
แต่ก็เป็นเรื่องที่โดนใจเขาได้หากลึกๆ แล้วมันเป็นประเด็นที่เขาอ่อนไหว เช่น นาย ข.โดยปรกติแล้วชอบช่วยเหลือคนที่อ่อนแอ
เหตุการณ์ดังกล่าวจึงสร้างความรู้สึกแก่เขา
3.เล่าเพราะจินตนาการ
พูดง่ายๆ ก็คือเรื่องแต่งแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มน่ะแหละครับ
อย่างพ่อที่เล่านิทานที่แต่งขึ้นมาเดี๋ยวนั้นให้ลูกฟังก่อนนอน เรื่องแบบนี้จะมีประสบการณ์ร่วมหรือรู้สึกไปกับเหตุการณ์น้อยกว่าเรื่องแบบที่สอง
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าด้อยค่าไปกว่ากันเลย
เพราะว่าเรื่องเล่าแบบนี้สามารถสร้างความอยากติดตามให้แก่ผู้ฟังได้
หากตัวคนเล่าเองเปิดใจเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังเล่าอยู่แบบหมดเปลือก
4.เล่าเพราะจำเป็นจะต้องเล่า
แบบเด็กนักเรียนที่ต้องไปยืนพูดหน้าชั้นเรียน
แล้วเล่าเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็จะเล่าแบบสะดุดเป็นห้วงๆ
และไม่น่าสนใจไม่น่าติดตาม
เรื่องเล่าแบบนี้หมดสิ้นทั้งความเชื่อในสิ่งที่กำลังเล่าอยู่ของตัวผู้เล่าเอง
และความมีอารมณ์ร่วมหรือรู้สึกตามไปกับเรื่องที่เล่านั้นๆ
จะเห็นได้ว่าจากหัวข้อที่ผมยกขึ้นมาข้างต้น ผมได้เน้นคำว่า “ประสบการณ์ร่วม” และ “ความเชื่อ”
มากเป็นพิเศษ เพราะผมเชื่อว่านี่แหละครับ
สองสิ่งนี้แหละคือหัวใจสำคัญของการสร้างงานศิลปะใดๆ ก็ตามบนโลกให้ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้
แม้กระทั่งสำหรับหนังสั้นก็ตาม
แต่ผมอยากจะให้ก่อนเริ่มต้นที่จะคิดเรื่องเพื่อจะทำหนังสั้นสักเรื่อง
สำหรับมือใหม่หัดทำ ควรจะเริ่มต้นด้วย “ประสบการณ์ร่วม”
กับเรื่องก่อน
หมายถึงว่าเขารู้สึกพิเศษหรือใกล้ชิดกับเรื่องที่กำลังเล่า คือในรูปแบบการเล่าเรื่องจะต้องอยู่ระหว่างข้อ 1 หรือ 2 ก่อน
เพราะการเริ่มด้วยเรื่องที่ตัวเองรู้จัก
เข้าใจ และมีจดจำรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงที่น่าสนใจนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น
หากคุณเป็นคนที่มีปมปัญหากับพี่หรือน้อง ทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
คุณก็อาจจะได้งานน่าสนใจสุดๆ จากการนำเรื่องเหล่านั้นมาเล่าผ่านหนังของคุณ
หรือหากคุณเป็นพนักงานออฟฟิตที่โดนเจ้านายกดขี่และเป็นทุกข์ด้วยปัญหาต่างๆ
คุณก็สามารถนำเอาเหตุการณ์นั้นๆ มาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นชั้นดีในการทำหนังของคุณ
แต่มันก็ยังเป็นแค่
“องค์ประกอบหนึ่ง” เท่านั้นนะครับ
เพราะอีกองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการเริ่มคิดเรื่องก็คือคุณจะต้องมี “ความเชื่อ” เป็นอย่างยิ่งกับเรื่องที่คุณจะเล่า
แม้ว่าหากเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคุณ
แต่ถ้าคุณไม่มีความเชื่อในการที่จะถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างน่าสนใจ
มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำหนังเรื่องนั้นๆ ขึ้นมา ความเชื่อที่ว่านั้นก็คือ
เชื่อว่าเรื่องที่คุณคิดนั้นจะต้องมีพลังออกมาและส่งผลไปยังความรู้สึกนึกคิดของคน.....ความเชื่อที่ว่านั้นก็คือ
เชื่อว่าเรื่องที่คุณคิดนั้นจะต้องมีพลังออกมาและส่งผลไปยังความรู้สึกนึกคิดของคนที่คุณอยากให้มาดูหนังของคุณ
ให้เขาหัวเราะ,ร้องไห้ หรือฮึกเหิมเปี่ยมด้วยกำลังใจ
จนกระทั่งเมื่อหนังจบก็ได้ซึบซับเอาสาระต่างๆ
ที่คุณสอดแทรกเอาไว้ในหนังไปโดยไม่รู้ตัว
รวมไปถึงเชื่อมั่นในตัวเองว่าเรื่องที่กำลังทำอยู่นั้นน่าสนใจจริงๆ
และเชื่อว่ามันได้กลั่นกรองมาจากก้นบึ้งของหัวใจคุณแล้วจริงๆ
การมีความเชื่อเช่นนี้ คุณสามารถทำหนังอะไรก็ได้ทุกแบบครับ
ตามรูปแบบข้างต้นก็จะตั้งแต่ข้อ 1 ถึง 3 นั่นแหละ คือ แม้แต่เรื่องที่แต่งด้วยจินตนาการของคุณ
สร้างโลกอุปโลกน์ขึ้นมาจากอากาศธาตุ ถ้าคุณทำหนังอย่าง Lord of the
ring เมื่อคุณมีความเชื่อ คุณก็สามารถทำให้คนอื่นเชื่อได้ว่ามัจฉิมโลกมีอยู่จริง
แต่...สุดท้ายก็ต้องมีคำว่าแต่
การมีประสบการณ์ร่วมหรือการมีความเชื่อในเรื่องที่จะเล่าอย่างเต็มเปี่ยม
ก็อาจจะไม่ได้ทำให้คุณสามารถทำหนังในแบบที่คุณอยากทำได้อย่างสมบูรณ์พร้อมโดยแท้จริง
เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะความเป็นจริงอย่างไรล่ะ
ความเป็นจริงจากปัจจัยรอบๆ
ตัวคุณ เช่น คุณมีกล้อง มีไมค์บูมสำหรับอัดเสียง มีทีมงานสองสามคน มีบ้านหนึ่งหลัง
และเพื่อนอีกไม่กี่คนที่พร้อมจะแสดงให้
ข้อจำกัดมากมายมักชอบมาบีบให้ความคิดสร้างสรรค์ของคนทำหนังต้องหดแคบลง อย่างเช่น
หากคุณเล่าเรื่องของตัวเอง
และมีฉากที่คุณอยู่ในงานฉลองปีใหม่และเป็นฉากสำคัญต่อเรื่อง
เพราะในฉากนี้คุณจะต้องโดนหักอกในขณะเดียวกันคุณก็จะพบรักใหม่
แต่คุณกำลังถ่ายหนังช่วงกลางปี และไม่อาจจะรออีก 6 เดือนเพื่อถ่ายฉากนี้ได้ เพราะนักแสดงอาจจะตัดผม อาจจะไปเรียนต่อเมืองนอก
และงบประมาณการสร้างอาจจะถูกใช้หมดไปเสียก่อน แล้วที่นี่จะทำไงดีล่ะ
ก็มาสู่ข้อเท็จจริงที่ว่า
บางครั้งคนทำหนังที่ดีก็ต้องคิดเรื่องและเขียนบทให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อจำกัด
ในขณะที่ก็ยังสะท้อนตัวตนและเล่าเรื่องในแบบที่อยากเล่าได้ สามารถรักษาสมดุลของตาชั่งทั้งสองข้าง
ผมเองขอยอมรับว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากเสียหน่อย
แต่ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นที่จะต้องทำน่ะครับ
แปลว่าเมื่อเริ่มต้นทำหนังสั้นเรื่องแรก ความ “เอาแต่ใจตัวเอง”
และความยึดมั่นถือมั่นในการจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็นปรากฏบนหนังตนเอง
หรือใส่สิ่งที่ชอบลงไปในเนื้องานของผู้กำกับไม่ควรมีมากจนเกินไป
3. หลักการเขียนบทเบื้องต้น
องค์ประกอบของการเขียนบทภาพยนตร์
เรื่อง (story) หมายถึงเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น
โดยมีจุดเริ่มต้นและดำเนินไปสู่จุดสิ้นสุด เรื่องอาจจะสั้นเพียงไม่กี่นาที
อาจยาวนานเป็นปี หรือไม่รู้จบ (infinity) ก็ได้
สิ่งสำคัญในการดำเนินเรื่อง คือปมความขัดแย้ง (conflict) ซึ่งก่อให้เกิดการกระทำ ส่งผลให้เกิดเป็นเรื่องราว
แนวความคิด (concept) เรื่องที่จะนำเสนอมีแนวความคิด (Idea) อะไรที่จะสื่อให้ผู้ชมรับรู้
แก่นเรื่อง (theme) คือประเด็นเนื้อหาสำคัญหรือแกนหลัก (Main
theme) ของเรื่องที่จะนำเสนอ ซึ่งอาจประกอบด้วยประเด็นรองๆ (sub
theme) อีกก็ได้ แต่ต้องไม่ออกนอกแนวความคิดหลัก
เรื่องย่อ (plot) เป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาใหม่ เรื่องที่นำมาจากเหตุการณ์จริง
เรื่องที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรม หรือแม้แต่เรื่องที่ลอกเลียนแบบมาจากภาพยนตร์อื่น
สิ่งแรกนั้นเรื่องต้องมีความน่าสนใจ มีใจความสำคัญชัดเจน
ต้องมีการมีการตั้งคำถามว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น (What...if...?) กับเรื่องที่คิดมา และสามารถพัฒนาขยายเป็นโครงเรื่องใหญ่ได้
โครงเรื่อง (treatment) เป็นการเล่าเรื่องลำดับเหตุการณ์อย่างมีเหตุผล
เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์จะต้องส่งเสริมประเด็นหลักของเรื่องได้ชัดเจน
ไม่ให้หลงประเด็น โครงเรื่องจะประกอบด้วยเหตุการณ์หลัก (main plot) และเหตุการณ์รอง (sub plot) ซึ่งเหตุการณ์รองที่ใส่เข้าไป
ต้องผสมกลมกลืนเป็นเหตุเป็นผลกับเหตุการณ์หลัก
ตัวละคร (character) มีหน้าที่ดำเนินเหตุการณ์จากจุดเริ่มต้นไปสู่จุดสิ้นสุดของเรื่อง
ตัวละครอาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเป็นนามธรรมไม่มีตัวตนก็ได้
การสร้างตัวละครขึ้นมาต้องคำนึงถึงภูมิหลังพื้นฐาน ที่มาที่ไป บุคลิกนิสัย
ความต้องการ อันก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆของตัวละครนั้นๆ
ตัวละครแบ่งออกเป็นตัวแสดงหลักหรือตัวแสดงนำ และตัวแสดงสมทบหรือตัวแสดงประกอบ
ทุกตัวละครจะต้องมีส่งผลต่อเหตุการณ์นั้นๆ มากน้อยตามแต่บทบาทของตน
ตัวเอกย่อมมีความสำคัญมากกว่าตัวรองเสมอ
บทสนทนา (dialogue) เป็นถ้อยคำที่กำหนดให้แต่ละตัวละครได้ใช้แสดงโต้ตอบกัน
ใช้บอกถึงอารมณ์ ดำเนินเรื่อง และสื่อสารกับผู้ชม
ภาพยนตร์ที่ดีจะสื่อความหมายด้วยภาพมากกว่าคำพูด
การประหยัดถ้อยคำจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ
ความหมายหรืออารมณ์บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ถ้อยคำมาช่วยเสริมให้ดูดียิ่งขึ้นก็ได้
โครงสร้างการเขียนบท
จุดเริ่มต้น (beginning) ช่วงของการเปิดเรื่อง
แนะนำเรื่องราว ปูเนื้อเรื่อง
การพัฒนาเรื่อง (developing) การดำเนินเรื่อง
ผ่านเหตุการณ์เดียวหรือหลายเหตุการณ์ เนื้อเรื่องจะมีความซับซ้อนมากขึ้น
จุดสิ้นสุด (ending) จุดจบของเรื่อง แบ่งออกเป็นแบบสมหวัง (happy
ending) ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ และแบบผิดหวัง (tragedy/
sad ending) ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ
โครงเรื่องสู่การเป็นบท
เมื่อสามารถคิดและเขียนเรื่องโดยรู้จักที่จะประนีประนอมกับตัวเองได้แล้ว
ก็มาสู่ขั้นการเขียนบท ทุกอย่างในขั้นตอนนี้จะง่ายขึ้นเมื่อคุณมีโครงเรื่องที่เรียบร้อยดีอยู่แล้ว
คุณก็แค่ยึดเอาโครงเรื่องนี้มาไว้กับตัว และจำหลักการง่ายๆ
ดังต่อไปนี้ที่คุณควรจะยึดติดเอาไว้
1.จำไว้เสมอว่าตัวเองกำลังเล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร
หมายความว่าพยายามยึดเรื่องให้อยู่กับประเด็นหลักเอาไว้
เพราะว่ามีคนทำหนังมากมายที่หลงทางไปกับประเด็นแยกย่อย
หรือเพิ่มเติมเนื้อหาบางอย่างเข้าไปทั้งๆ ที่มันไม่ได้ส่งผลใดๆ
กับเรื่องราวที่กำลังเล่าอยู่เลย ยิ่งเป็นหนังสั้นด้วยแล้ว
การเดินเข้าสู่ประเด็นหลักอย่างมั่นคงยิ่งเป็นเรื่องจำเป็น
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณกำลังเล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่ตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่ง
และจีบเธอโดยการส่งดอกไม้ทุกวัน คุณอาจจะขยายเรื่องราวว่า
ชีวิตชายหนุ่มคนนี้เป็นอย่างไร เพื่ออธิบายว่าทำไมเขาถึงมาชอบหญิงสาวคนนี้
และอาจจะอธิบายเกี่ยวกับตัวหญิงสาวได้ว่า ชีวิตของเธอเป็นอย่างไรและทำไมเธอถึงกลายมาเป็นคนที่ชายหนุ่มหลงรัก
แต่เรื่องจะหลงทางทันทีหากคุณไปเล่าเรื่องของแม่พระเอก หรือพ่อของนางเอก
โดยที่มันไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อการที่พระเอกตามจีบนางเอก
เว้นแต่ว่าจะเป็นเรื่องความรักของรุ่นพ่อรุ่นแม่
ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับความรักของรุ่นลูกด้วยได้ การเล่าเรื่องที่ออกนอกประเด็นนั้นจะนำพามาทั้งความสับสนแก่คนดูว่า
ตกลงแล้วคนทำหนังพยายามจะบอกอะไรกันแน่
ยังอาจจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายเล็กน้อยขึ้นมาอีกด้วย
การแก้ปัญหาตรงนี้นอกจากจะขึ้นอยู่กับการวางโครงเรื่องรัดกุมแล้ว
ยังอยู่ที่การเขียนบทที่มีสมาธิอีกด้วย
2. เดินเรื่องไปข้างหน้าอยู่ตลอด
อย่างที่เกริ่นไว้ในหัวข้อการคิดเรื่อง
การที่ทำให้เรื่องเดินหน้าไปตลอดนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังที่ต้องการให้คนดูได้รับความบันเทิง ยกตัวอย่างเช่น
หากเราปูเรื่องไว้แล้วว่าพระเอกทำงานออฟฟิตที่น่าเบื่อหน่าย เพื่อนๆ ไม่ชอบหน้าเขา
การบอกเล่าตรงนี้ควรจะเป็นแค่ครั้งหรือสองครั้งก็ได้ แต่หากมีบ่อยๆ ซ้ำๆ
เกินควรอาจจะทำให้คนดูรู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องที่กำลังดูอยู่
และพาลหมดความสนใจแก่ตัวหนังทั้งเรื่องไปได้
3.การยึดหลัก 3 องค์ ปรกติถ้าเป็นตำราเขียนบท เรื่องของ 3 องค์มักจะมาเป็นลำดับแรก แต่สำหรับผม
ผมมองว่าเรื่องของโครงสร้างการเขียนบทนั้น มันยังจำเป็นน้อยกว่า 2 หัวข้อก่อนหน้านี้ หลัก 3 องค์ที่ว่าซึ่งคนที่เรียนเขียนบทหนังหรือบทละครมาก็คงจะรู้จักกันดีนะครับ
องค์แรกก็คือการปูเรื่อง
เปิดตัวละคร จนเกิดเหตุการณ์พลิกผันกับตัวละคร นำไปสู่องค์ที่ 2เช่น พระเอกเป็นพนักงานออฟฟิตธรรมดา โดยเจ้านายกดขี่
แฟนแอบนอกใจไปเป็นชู้กับเพื่อน แล้วจู่ๆ ก็มีคนเดินมาบอกว่า
เขาคือสุดยอดนักฆ่าที่มีพลังมหาศาล และอยากชวนเขาเข้าร่วมองค์กร
และพระเอกได้เจอฝ่ายเหล่าร้ายตามไล่ล่า จนตัดสินใจว่าจะต้องเข้าร่วมกับองค์กรนี้
องค์ที่สองก็คือส่วนกลางเรื่อง
เล่าเรื่องที่ปูไปสุดจุดหักเหอีกครั้งก่อนจะเข้าส่ climax (ช่วงจบ)ตัวอย่างเช่น
พระเอกมาฝึกฝนการต่อสู้กับองค์กรที่ชวนเขามาเข้าพวกจนสำเร็จสุดยอดวิชา
แต่กลายเป็นว่าองค์กรนี้แท้จริงชั่วร้าย เลยต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรระหว่างหนีไปหรือทำลายองค์กรนี้
องค์ที่สามก็คือบทสรุปของเรื่องน่ะแหละครับ
ตัวอย่างก็เช่น พระเอกตัดสินใจจะไม่หนีและสู้กับองค์กรร้าย
การต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านแต่สุดท้ายพระเอกก็เป็นฝ่ายกุมชัยชนะ
เรื่องจบลงโดยการที่พระเอกตัดสินใจใช้ความสามารถของตนผดุงคุณธรรม
คุณสามารถนำหลัก 3 องค์ไปปรับใช้ได้กับการเล่าเรื่องทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะโรแมนติก สยองขวัญ หรือหนังแอ็คชั่นเลือดท่วม
จนเมื่อคุณแม่นกับการทำหนังตามหลัก 3 องค์แล้ว
คุณก็สามารถจะ “แหกกฎ” โดยการไม่ทำตามนี้เลยก็ได้
เพราะมันอาจจะนำมาซึ่งสิ่งแปลกใหม่และสร้างสรรค์ แต่ก่อนหน้านั้น
มันก็เหมือนกับที่เขาว่ากันว่า ก่อนจะวิ่งได้ต้องหัดเดินก่อนน่ะแหละครับ
เพราะถ้าเกิดยังเดินไม่ได้แล้วมาวิ่งเลยนี่
โอกาสที่จะสะดุดหกล้มหัวคะมำก็เป็นไปได้สูงทีเดียว
4. เขียนให้คนอื่นๆ
สามารถเห็นภาพตามไปด้วยได้ คนทำหนังทุกคนไม่ควรทำหนังคนเดียวครับ
เพราะว่ามันเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะไหนจะต้องมีสมาธิกับการกำกับ
มีสมาธิว่าต่อไปจะต้องถ่ายฉากอะไรต่อ จะพักกินข้าวตอนไหน จะวางมุมกล้องยังไง ฯลฯ
สารพัดครับ การเขียนบทที่สามารถทำให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจได้ง่าย
มองเห็นภาพในหนังได้ตรงกัน และทำให้การทำงานง่ายขึ้น
แต่ถ้าถามว่าเขียนอย่างไรถึงจะให้เป็นเช่นนั้นได้
อธิบายง่ายๆ เลยนะครับ ก็คือ อย่างเช่น ฉากที่พระเอกเดินเข้ามาในห้อง
มันอาจจะมีรายละเอียดด้วยว่า “พระเอกเปิดประตูเข้ามาในห้อง
เดินเข้ามาแล้วก็ปิดประตู จากนั้นก็เดินผ่านกองหนังสือเก่าที่วางระเกะระกะ
ตรงเข้าไปนั่งที่โซฟาสีน้ำเงิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากประตูสักเท่าไหร่ ข้างๆ
โซฟามีหน้าต่าง มองออกไปเห็นท้องฟ้าสีคราม พระเอกเมื่อนั่งลงแล้ว
เขาก็นั่งนิ่งไม่ได้ทำอะไร”
นี้คือหลักการเขียนบทเบื้องต้น ฉบับย่อๆครับผม
2. กระบวนการคิดโครงเรื่อง
3. หลักการเขียนบทเบื้องต้น
4. ตัวอย่างบทภาพยนตร์สั้น
1. ประวัติบทภาพยนตร์
ความเป็นมาของการเขียนบทภาพยนตร์
การเขียนบทภาพยนตร์เริ่มจากตากล้องควบตำแหน่งคนเขียนบทเพราะการถ่ายทำภาพยนตร์โดยตากล้องเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เริ่มต้น การเขียนบทภาพยนตร์พัฒนาสู้การเขียนบทสนทนา(บทพูด)โดยนักแสดงตลก(บทพูดสามารถแฝงด้วยมุขตลก)การเขียนบทภาพยนตร์ได้รับความสำคัญในการเป็นสื่อเฉพาะที่จำเป็นต่อการผลิตภาพยนตร์ ทำให้บทบาทของผู้เขียนบทภาพยนตร์มีความสำคัญตามมาที่มาของการเขียนบทภาพยนตร์ในอเมริกา
กระบวนการคิดให้เป็นเรื่อง
การคิดเรื่องมันไม่ยากหรอกครับ ก่อนอื่นอยากให้เริ่มต้นด้วยการเขียนโครงเรื่องสักหนึ่งหน้ากระดาษก่อน เล่าว่าในหนังสั้นที่เรากำลังจะทำนี้ มีเหตุการณ์อะไรบ้าง ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ แบ่งเป็นฉากๆ ก็ได้ครับ ฉากที่ 1 ไปจนกระทั่งกี่ฉากก็ว่าไป แต่ล่ะฉากก็ให้มีการเดินเรื่องไปข้างหน้าตลอดไม่ย่ำตัวเองอยู่กับที่ แต่ก่อนที่จะเริ่มคิดและเขียนเรื่องขึ้นมา ก็อยากจะให้ทุกคนทราบถึงหลักของการเล่าเรื่องเสียก่อน
หลักง่ายๆ ของการเริ่มต้นอยากจะเล่าเรื่องอะไรสักอย่างให้แก่คนทั่วๆ ไปได้รับรู้กันนั้น จริงๆ แล้วไม่ว่าหนัง,ละคร,นิทาน หรือนวนิยาย ต้นกำเนิดของเรื่องเล่ารูปแบบต่างๆ เหล่านี้มีไม่มากนัก
1.เล่าเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เช่น นาย ก.เดินทางไปในป่าเพื่อล่าสัตว์ และพบสิงโตตัวหนึ่งกำลังไล่ล่ากวาง ในระหว่างที่นาย ก. กำลังมองดูเหตุการณ์นี้ จู่ๆ สิงโตก็หันไปเห็นนาย ก.และวิ่งไล่ใส่นาย ก.แทน ฝ่ายนาย ก. เมื่อเห็นดังนั้นก็เลยรีบวิ่งโกยไม่คิดชีวิต เมื่อเขารอดมาได้ ไม่ว่าเจอหน้าใครเขาก็อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องนี้ให้แก่คนผู้นั้นฟัง เรื่องเล่าประเภทนี้ ผู้เล่ามักจะมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องที่ตนเองเล่าไปด้วยเป็นอย่างมาก พูดง่ายๆ ก็คือมี “ประสบการณ์ร่วม” หรือใกล้ชิดกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นๆ อย่างแท้จริง
2.เล่าเพราะเห็นเจอมา แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัว เช่น นาย ข. ขึ้นรถเมล์ที่เบียดเสียด แล้วได้ไปเจอผู้ชายลุกให้เด็กนั่ง มันเป็นเหตุการณ์อันน่าประทับใจจนเขาต้องเล่าให้เพื่อนของเขาฟัง เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่กระทบความรู้สึกของคนเล่ามากเท่ากับเรื่องแบบแรก แต่ก็เป็นเรื่องที่โดนใจเขาได้หากลึกๆ แล้วมันเป็นประเด็นที่เขาอ่อนไหว เช่น นาย ข.โดยปรกติแล้วชอบช่วยเหลือคนที่อ่อนแอ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงสร้างความรู้สึกแก่เขา
3.เล่าเพราะจินตนาการ พูดง่ายๆ ก็คือเรื่องแต่งแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มน่ะแหละครับ อย่างพ่อที่เล่านิทานที่แต่งขึ้นมาเดี๋ยวนั้นให้ลูกฟังก่อนนอน เรื่องแบบนี้จะมีประสบการณ์ร่วมหรือรู้สึกไปกับเหตุการณ์น้อยกว่าเรื่องแบบที่สอง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าด้อยค่าไปกว่ากันเลย เพราะว่าเรื่องเล่าแบบนี้สามารถสร้างความอยากติดตามให้แก่ผู้ฟังได้ หากตัวคนเล่าเองเปิดใจเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังเล่าอยู่แบบหมดเปลือก
4.เล่าเพราะจำเป็นจะต้องเล่า แบบเด็กนักเรียนที่ต้องไปยืนพูดหน้าชั้นเรียน แล้วเล่าเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็จะเล่าแบบสะดุดเป็นห้วงๆ และไม่น่าสนใจไม่น่าติดตาม เรื่องเล่าแบบนี้หมดสิ้นทั้งความเชื่อในสิ่งที่กำลังเล่าอยู่ของตัวผู้เล่าเอง และความมีอารมณ์ร่วมหรือรู้สึกตามไปกับเรื่องที่เล่านั้นๆ
เพราะการเริ่มด้วยเรื่องที่ตัวเองรู้จัก เข้าใจ และมีจดจำรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงที่น่าสนใจนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น หากคุณเป็นคนที่มีปมปัญหากับพี่หรือน้อง ทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คุณก็อาจจะได้งานน่าสนใจสุดๆ จากการนำเรื่องเหล่านั้นมาเล่าผ่านหนังของคุณ หรือหากคุณเป็นพนักงานออฟฟิตที่โดนเจ้านายกดขี่และเป็นทุกข์ด้วยปัญหาต่างๆ คุณก็สามารถนำเอาเหตุการณ์นั้นๆ มาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นชั้นดีในการทำหนังของคุณ
แต่มันก็ยังเป็นแค่ “องค์ประกอบหนึ่ง” เท่านั้นนะครับ เพราะอีกองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการเริ่มคิดเรื่องก็คือคุณจะต้องมี “ความเชื่อ” เป็นอย่างยิ่งกับเรื่องที่คุณจะเล่า แม้ว่าหากเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคุณ แต่ถ้าคุณไม่มีความเชื่อในการที่จะถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างน่าสนใจ มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำหนังเรื่องนั้นๆ ขึ้นมา ความเชื่อที่ว่านั้นก็คือ เชื่อว่าเรื่องที่คุณคิดนั้นจะต้องมีพลังออกมาและส่งผลไปยังความรู้สึกนึกคิดของคน.....ความเชื่อที่ว่านั้นก็คือ เชื่อว่าเรื่องที่คุณคิดนั้นจะต้องมีพลังออกมาและส่งผลไปยังความรู้สึกนึกคิดของคนที่คุณอยากให้มาดูหนังของคุณ ให้เขาหัวเราะ,ร้องไห้ หรือฮึกเหิมเปี่ยมด้วยกำลังใจ จนกระทั่งเมื่อหนังจบก็ได้ซึบซับเอาสาระต่างๆ ที่คุณสอดแทรกเอาไว้ในหนังไปโดยไม่รู้ตัว รวมไปถึงเชื่อมั่นในตัวเองว่าเรื่องที่กำลังทำอยู่นั้นน่าสนใจจริงๆ และเชื่อว่ามันได้กลั่นกรองมาจากก้นบึ้งของหัวใจคุณแล้วจริงๆ การมีความเชื่อเช่นนี้ คุณสามารถทำหนังอะไรก็ได้ทุกแบบครับ ตามรูปแบบข้างต้นก็จะตั้งแต่ข้อ 1 ถึง 3 นั่นแหละ คือ แม้แต่เรื่องที่แต่งด้วยจินตนาการของคุณ สร้างโลกอุปโลกน์ขึ้นมาจากอากาศธาตุ ถ้าคุณทำหนังอย่าง Lord of the ring เมื่อคุณมีความเชื่อ คุณก็สามารถทำให้คนอื่นเชื่อได้ว่ามัจฉิมโลกมีอยู่จริง แต่...สุดท้ายก็ต้องมีคำว่าแต่ การมีประสบการณ์ร่วมหรือการมีความเชื่อในเรื่องที่จะเล่าอย่างเต็มเปี่ยม ก็อาจจะไม่ได้ทำให้คุณสามารถทำหนังในแบบที่คุณอยากทำได้อย่างสมบูรณ์พร้อมโดยแท้จริง เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะความเป็นจริงอย่างไรล่ะ
ความเป็นจริงจากปัจจัยรอบๆ ตัวคุณ เช่น คุณมีกล้อง มีไมค์บูมสำหรับอัดเสียง มีทีมงานสองสามคน มีบ้านหนึ่งหลัง และเพื่อนอีกไม่กี่คนที่พร้อมจะแสดงให้ ข้อจำกัดมากมายมักชอบมาบีบให้ความคิดสร้างสรรค์ของคนทำหนังต้องหดแคบลง อย่างเช่น หากคุณเล่าเรื่องของตัวเอง และมีฉากที่คุณอยู่ในงานฉลองปีใหม่และเป็นฉากสำคัญต่อเรื่อง เพราะในฉากนี้คุณจะต้องโดนหักอกในขณะเดียวกันคุณก็จะพบรักใหม่ แต่คุณกำลังถ่ายหนังช่วงกลางปี และไม่อาจจะรออีก 6 เดือนเพื่อถ่ายฉากนี้ได้ เพราะนักแสดงอาจจะตัดผม อาจจะไปเรียนต่อเมืองนอก และงบประมาณการสร้างอาจจะถูกใช้หมดไปเสียก่อน แล้วที่นี่จะทำไงดีล่ะ
ก็มาสู่ข้อเท็จจริงที่ว่า บางครั้งคนทำหนังที่ดีก็ต้องคิดเรื่องและเขียนบทให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อจำกัด ในขณะที่ก็ยังสะท้อนตัวตนและเล่าเรื่องในแบบที่อยากเล่าได้ สามารถรักษาสมดุลของตาชั่งทั้งสองข้าง ผมเองขอยอมรับว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากเสียหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นที่จะต้องทำน่ะครับ แปลว่าเมื่อเริ่มต้นทำหนังสั้นเรื่องแรก ความ “เอาแต่ใจตัวเอง” และความยึดมั่นถือมั่นในการจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็นปรากฏบนหนังตนเอง หรือใส่สิ่งที่ชอบลงไปในเนื้องานของผู้กำกับไม่ควรมีมากจนเกินไป
องค์ประกอบของการเขียนบทภาพยนตร์
เมื่อสามารถคิดและเขียนเรื่องโดยรู้จักที่จะประนีประนอมกับตัวเองได้แล้ว ก็มาสู่ขั้นการเขียนบท ทุกอย่างในขั้นตอนนี้จะง่ายขึ้นเมื่อคุณมีโครงเรื่องที่เรียบร้อยดีอยู่แล้ว คุณก็แค่ยึดเอาโครงเรื่องนี้มาไว้กับตัว และจำหลักการง่ายๆ ดังต่อไปนี้ที่คุณควรจะยึดติดเอาไว้
1.จำไว้เสมอว่าตัวเองกำลังเล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร หมายความว่าพยายามยึดเรื่องให้อยู่กับประเด็นหลักเอาไว้ เพราะว่ามีคนทำหนังมากมายที่หลงทางไปกับประเด็นแยกย่อย หรือเพิ่มเติมเนื้อหาบางอย่างเข้าไปทั้งๆ ที่มันไม่ได้ส่งผลใดๆ กับเรื่องราวที่กำลังเล่าอยู่เลย ยิ่งเป็นหนังสั้นด้วยแล้ว การเดินเข้าสู่ประเด็นหลักอย่างมั่นคงยิ่งเป็นเรื่องจำเป็น
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณกำลังเล่าเรื่องของชายคนหนึ่งที่ตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่ง และจีบเธอโดยการส่งดอกไม้ทุกวัน คุณอาจจะขยายเรื่องราวว่า ชีวิตชายหนุ่มคนนี้เป็นอย่างไร เพื่ออธิบายว่าทำไมเขาถึงมาชอบหญิงสาวคนนี้ และอาจจะอธิบายเกี่ยวกับตัวหญิงสาวได้ว่า ชีวิตของเธอเป็นอย่างไรและทำไมเธอถึงกลายมาเป็นคนที่ชายหนุ่มหลงรัก แต่เรื่องจะหลงทางทันทีหากคุณไปเล่าเรื่องของแม่พระเอก หรือพ่อของนางเอก โดยที่มันไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อการที่พระเอกตามจีบนางเอก เว้นแต่ว่าจะเป็นเรื่องความรักของรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับความรักของรุ่นลูกด้วยได้ การเล่าเรื่องที่ออกนอกประเด็นนั้นจะนำพามาทั้งความสับสนแก่คนดูว่า ตกลงแล้วคนทำหนังพยายามจะบอกอะไรกันแน่ ยังอาจจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายเล็กน้อยขึ้นมาอีกด้วย การแก้ปัญหาตรงนี้นอกจากจะขึ้นอยู่กับการวางโครงเรื่องรัดกุมแล้ว ยังอยู่ที่การเขียนบทที่มีสมาธิอีกด้วย
2. เดินเรื่องไปข้างหน้าอยู่ตลอด อย่างที่เกริ่นไว้ในหัวข้อการคิดเรื่อง การที่ทำให้เรื่องเดินหน้าไปตลอดนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังที่ต้องการให้คนดูได้รับความบันเทิง ยกตัวอย่างเช่น หากเราปูเรื่องไว้แล้วว่าพระเอกทำงานออฟฟิตที่น่าเบื่อหน่าย เพื่อนๆ ไม่ชอบหน้าเขา การบอกเล่าตรงนี้ควรจะเป็นแค่ครั้งหรือสองครั้งก็ได้ แต่หากมีบ่อยๆ ซ้ำๆ เกินควรอาจจะทำให้คนดูรู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องที่กำลังดูอยู่ และพาลหมดความสนใจแก่ตัวหนังทั้งเรื่องไปได้
3.การยึดหลัก 3 องค์ ปรกติถ้าเป็นตำราเขียนบท เรื่องของ 3 องค์มักจะมาเป็นลำดับแรก แต่สำหรับผม ผมมองว่าเรื่องของโครงสร้างการเขียนบทนั้น มันยังจำเป็นน้อยกว่า 2 หัวข้อก่อนหน้านี้ หลัก 3 องค์ที่ว่าซึ่งคนที่เรียนเขียนบทหนังหรือบทละครมาก็คงจะรู้จักกันดีนะครับ
องค์แรกก็คือการปูเรื่อง เปิดตัวละคร จนเกิดเหตุการณ์พลิกผันกับตัวละคร นำไปสู่องค์ที่ 2เช่น พระเอกเป็นพนักงานออฟฟิตธรรมดา โดยเจ้านายกดขี่ แฟนแอบนอกใจไปเป็นชู้กับเพื่อน แล้วจู่ๆ ก็มีคนเดินมาบอกว่า เขาคือสุดยอดนักฆ่าที่มีพลังมหาศาล และอยากชวนเขาเข้าร่วมองค์กร และพระเอกได้เจอฝ่ายเหล่าร้ายตามไล่ล่า จนตัดสินใจว่าจะต้องเข้าร่วมกับองค์กรนี้
องค์ที่สองก็คือส่วนกลางเรื่อง เล่าเรื่องที่ปูไปสุดจุดหักเหอีกครั้งก่อนจะเข้าส่ climax (ช่วงจบ)ตัวอย่างเช่น พระเอกมาฝึกฝนการต่อสู้กับองค์กรที่ชวนเขามาเข้าพวกจนสำเร็จสุดยอดวิชา แต่กลายเป็นว่าองค์กรนี้แท้จริงชั่วร้าย เลยต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรระหว่างหนีไปหรือทำลายองค์กรนี้
องค์ที่สามก็คือบทสรุปของเรื่องน่ะแหละครับ ตัวอย่างก็เช่น พระเอกตัดสินใจจะไม่หนีและสู้กับองค์กรร้าย การต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านแต่สุดท้ายพระเอกก็เป็นฝ่ายกุมชัยชนะ เรื่องจบลงโดยการที่พระเอกตัดสินใจใช้ความสามารถของตนผดุงคุณธรรม
คุณสามารถนำหลัก 3 องค์ไปปรับใช้ได้กับการเล่าเรื่องทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะโรแมนติก สยองขวัญ หรือหนังแอ็คชั่นเลือดท่วม จนเมื่อคุณแม่นกับการทำหนังตามหลัก 3 องค์แล้ว คุณก็สามารถจะ “แหกกฎ” โดยการไม่ทำตามนี้เลยก็ได้ เพราะมันอาจจะนำมาซึ่งสิ่งแปลกใหม่และสร้างสรรค์ แต่ก่อนหน้านั้น มันก็เหมือนกับที่เขาว่ากันว่า ก่อนจะวิ่งได้ต้องหัดเดินก่อนน่ะแหละครับ เพราะถ้าเกิดยังเดินไม่ได้แล้วมาวิ่งเลยนี่ โอกาสที่จะสะดุดหกล้มหัวคะมำก็เป็นไปได้สูงทีเดียว
4. เขียนให้คนอื่นๆ สามารถเห็นภาพตามไปด้วยได้ คนทำหนังทุกคนไม่ควรทำหนังคนเดียวครับ เพราะว่ามันเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะไหนจะต้องมีสมาธิกับการกำกับ มีสมาธิว่าต่อไปจะต้องถ่ายฉากอะไรต่อ จะพักกินข้าวตอนไหน จะวางมุมกล้องยังไง ฯลฯ สารพัดครับ การเขียนบทที่สามารถทำให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจได้ง่าย มองเห็นภาพในหนังได้ตรงกัน และทำให้การทำงานง่ายขึ้น
แต่ถ้าถามว่าเขียนอย่างไรถึงจะให้เป็นเช่นนั้นได้ อธิบายง่ายๆ เลยนะครับ ก็คือ อย่างเช่น ฉากที่พระเอกเดินเข้ามาในห้อง มันอาจจะมีรายละเอียดด้วยว่า “พระเอกเปิดประตูเข้ามาในห้อง เดินเข้ามาแล้วก็ปิดประตู จากนั้นก็เดินผ่านกองหนังสือเก่าที่วางระเกะระกะ ตรงเข้าไปนั่งที่โซฟาสีน้ำเงิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากประตูสักเท่าไหร่ ข้างๆ โซฟามีหน้าต่าง มองออกไปเห็นท้องฟ้าสีคราม พระเอกเมื่อนั่งลงแล้ว เขาก็นั่งนิ่งไม่ได้ทำอะไร”
นี้คือหลักการเขียนบทเบื้องต้น ฉบับย่อๆครับผม
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)